ความสุขยิ้มได้ (เครดิตภาพจาก http://www.bloggang.com/) |
เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็มีเฟสบุ๊ค มีทวิตเตอร์ ใครไม่มีเหมือนตกยุค…
แล้วเราเคยสังเกตกันบ้างไหม ว่าในเฟสบุ๊คของเรานั้น จะมีให้กรอกรายละเอียดส่วนตัวว่าเกิดเมื่อไหร่ ทำงานอะไร โสดหรือไม่โสด อะไรอื่น ๆ อีกจิปาถะ
ที่สังเกตช่วงหลัง ๆ พอเปิดหน้า news feed เข้าไป จะมีการอวยพรวันเกิดกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จำได้ว่าต้องเขียนอวยพรวันเกิดให้เพื่อนไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าเป็นคนช่างสังเกตให้มากไปกว่านั้น จำได้ว่าอ่านจนตาแฉะกันไปข้าง
ทำนองว่าขอให้มีความสุขมาก ๆ…
ขอให้มีความสุขให้สุด ๆ…
ขอให้มีความสุขตลอดไป…
ขอให้ความสุขอยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน…
ก็แหงล่ะ มันเป็นธรรมเนียมที่จะต้องอวยพรหรือพูดแต่สิ่งดี ๆ ในวันคล้ายวันเกิด ขืนไปพูดแบบประมาณว่า
เอ่อ ขอให้มีความสุขแบบธรรมดา ๆ นะ…
สุขบ้าง ทุกข์บ้างก็ได้นะ…
อย่าสุขให้มากนัก เพราะทุกข์มันก็ต้องมีมาบ้าง…
ถ้าเราขืนไปอวยพรแบบนี้ เพื่อน ๆ เราคงได้ด่าตามไล่หลังมาติด ๆ เผลอ ๆ โกรธมาก ๆ เข้าเพราะดันไม่มีมารยาท ไปพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันสำคัญแบบนี้ พ่อแม่เราอาจจะต้องนั่งสะอึกอยู่กับบ้านก็ได้ เมื่อมีเสียงกร่นด่าให้ได้ยินตามลมมาเป็นระยะ ๆ
คิดไปแบบเล่น ๆ ว่า เอ๊ะ! อะไร ยังไง หรือเราติดกับดักความสุขมากเกินไปรึเปล่า ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข และพยายามจะวิ่งให้ห่างเจ้าความทุกข์มากที่สุด ซึ่งจริง ๆ อันนี้มันขัดกับคำสอนทางพุทธศาสนาเท่าที่ความรู้เท่าหางอึ่งของตัวเองได้รู้มาเหมือนกันนะว่า สุขกับทุกข์มันมาเป็นแพ็คเกจ มีสุขมีทุกข์ถือเป็นของคู่กัน
เคยทดลองกับตัวเองในชีวิตจริง แม้จะพยายามหลีกหนีให้ไกลเจ้าความทุกข์มากเท่าไร เหมือนมันจะติดสปีดตามเรามาเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกกับเราว่า เวลาเรามีความสุขในเรื่อง ๆ หนึ่ง ดูเหมือนจะมีความสุขมากเกินไป มากจนกระทั่งทำให้เพื่อนคนนี้เข้าใจว่า เวลาเราทุกข์ ทำไมมันถึงทุกข์มากไปกว่าคนอื่น การวิเคราะห์ของเพื่อนเปรียบเสมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนความเป็นตัวเองออกมาเหมือนกันนะ
ที่คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองคงจะเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่ติดกับดักเจ้าความสุขเข้าให้แล้ว ทั้ง ๆ ที่พยายามบอกกับตัวเองทุกครั้งว่า เฮ้ย! อย่าให้สุขมากนัก เอาแบบสุขแบบพอดี ๆ ได้ไหม อย่าให้มันมากเกิน แล้วแน่ล่ะต้องอย่าให้มันน้อยเกิน
เตือนตัวเองทุกครั้ง เวลารู้สึกว่า โอ้ย! ทำไมตัวเราถึงสุขเช่นนี้ คำพูดของเพื่อนคนนี้ก็เหมือนจะลอยเข้ามากระทบรอยหยักของสมองว่า อย่าให้มันเว่อร์มากไปนัก
ทุกวันนี้ยังคงพยายามจะบาลานซ์ตัวเองให้ได้ คิดเอาเองไหน ๆ ก็เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว (แม้จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไกลวัด) ก็จะต้องดำเนินรอยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้ว่า ทุกอย่างเราต้องเดินทางสายกลาง ถ้ามากไปเราอาจจะสำลักความสุขตายก็ได้ หรือถ้าน้อยไปเราเองก็อาจจะจมอยู่ในกองทุกข์จนไม่มีโอกาสโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาหายใจแบบคนอื่น ๆ บ้าง