วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กับดักความสุข

ความสุขยิ้มได้ (เครดิตภาพจาก http://www.bloggang.com/)

เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็มีเฟสบุ๊ค มีทวิตเตอร์ ใครไม่มีเหมือนตกยุค
แล้วเราเคยสังเกตกันบ้างไหม ว่าในเฟสบุ๊คของเรานั้น จะมีให้กรอกรายละเอียดส่วนตัวว่าเกิดเมื่อไหร่ ทำงานอะไร โสดหรือไม่โสด อะไรอื่น ๆ อีกจิปาถะ
ที่สังเกตช่วงหลัง ๆ พอเปิดหน้า news feed เข้าไป จะมีการอวยพรวันเกิดกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จำได้ว่าต้องเขียนอวยพรวันเกิดให้เพื่อนไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าเป็นคนช่างสังเกตให้มากไปกว่านั้น จำได้ว่าอ่านจนตาแฉะกันไปข้าง
ทำนองว่าขอให้มีความสุขมาก ๆ
ขอให้มีความสุขให้สุด ๆ
ขอให้มีความสุขตลอดไป
ขอให้ความสุขอยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน
ก็แหงล่ะ มันเป็นธรรมเนียมที่จะต้องอวยพรหรือพูดแต่สิ่งดี ๆ ในวันคล้ายวันเกิด ขืนไปพูดแบบประมาณว่า
เอ่อ ขอให้มีความสุขแบบธรรมดา ๆ นะ
สุขบ้าง ทุกข์บ้างก็ได้นะ
อย่าสุขให้มากนัก เพราะทุกข์มันก็ต้องมีมาบ้าง
ถ้าเราขืนไปอวยพรแบบนี้ เพื่อน ๆ เราคงได้ด่าตามไล่หลังมาติด ๆ เผลอ ๆ โกรธมาก ๆ เข้าเพราะดันไม่มีมารยาท ไปพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันสำคัญแบบนี้ พ่อแม่เราอาจจะต้องนั่งสะอึกอยู่กับบ้านก็ได้ เมื่อมีเสียงกร่นด่าให้ได้ยินตามลมมาเป็นระยะ ๆ
คิดไปแบบเล่น ๆ ว่า เอ๊ะ! อะไร ยังไง หรือเราติดกับดักความสุขมากเกินไปรึเปล่า ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข และพยายามจะวิ่งให้ห่างเจ้าความทุกข์มากที่สุด ซึ่งจริง ๆ อันนี้มันขัดกับคำสอนทางพุทธศาสนาเท่าที่ความรู้เท่าหางอึ่งของตัวเองได้รู้มาเหมือนกันนะว่า สุขกับทุกข์มันมาเป็นแพ็คเกจ มีสุขมีทุกข์ถือเป็นของคู่กัน
เคยทดลองกับตัวเองในชีวิตจริง แม้จะพยายามหลีกหนีให้ไกลเจ้าความทุกข์มากเท่าไร เหมือนมันจะติดสปีดตามเรามาเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกกับเราว่า เวลาเรามีความสุขในเรื่อง ๆ หนึ่ง ดูเหมือนจะมีความสุขมากเกินไป มากจนกระทั่งทำให้เพื่อนคนนี้เข้าใจว่า เวลาเราทุกข์ ทำไมมันถึงทุกข์มากไปกว่าคนอื่น การวิเคราะห์ของเพื่อนเปรียบเสมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนความเป็นตัวเองออกมาเหมือนกันนะ
ที่คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองคงจะเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่ติดกับดักเจ้าความสุขเข้าให้แล้ว ทั้ง ๆ ที่พยายามบอกกับตัวเองทุกครั้งว่า เฮ้ย! อย่าให้สุขมากนัก เอาแบบสุขแบบพอดี ๆ ได้ไหม อย่าให้มันมากเกิน แล้วแน่ล่ะต้องอย่าให้มันน้อยเกิน
เตือนตัวเองทุกครั้ง เวลารู้สึกว่า โอ้ย! ทำไมตัวเราถึงสุขเช่นนี้ คำพูดของเพื่อนคนนี้ก็เหมือนจะลอยเข้ามากระทบรอยหยักของสมองว่า อย่าให้มันเว่อร์มากไปนัก
ทุกวันนี้ยังคงพยายามจะบาลานซ์ตัวเองให้ได้ คิดเอาเองไหน ๆ ก็เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว (แม้จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไกลวัด) ก็จะต้องดำเนินรอยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้ว่า ทุกอย่างเราต้องเดินทางสายกลาง ถ้ามากไปเราอาจจะสำลักความสุขตายก็ได้ หรือถ้าน้อยไปเราเองก็อาจจะจมอยู่ในกองทุกข์จนไม่มีโอกาสโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาหายใจแบบคนอื่น ๆ บ้าง

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยสุขกับทุกข์

ขาว, ดำ, เทา, แดดส่อง, กับใบหญ้า

หลาย ๆ ปีให้หลัง ต้องยอมรับว่าเรารู้สึกจะชอบจมอยู่กับ ทุกขนิยมมากกว่า สุขนิยมจนบางทีสงสัยไปเองว่า นี่เราไปเริ่มคบหากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปชอบพอกันตั้งแต่ไหน ทำไมเผลอไปไม่กี่ปีกลับกลายมาเป็นเพื่อนสนิทไปซะงั้น
ไม่มีใครอยากทุกข์
เรื่องของคนที่ทุกข์ ไม่ใช่คนโง่ที่คิดไม่ได้ หรือคิดไม่เป็น
คิดได้ คิดเป็น แต่ก้าวไม่ข้ามมากกว่า
ไอ้เจ้าคำสองคำนี้พูดกันในวงสนทนากับเพื่อน ๆ จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนสร้างคำนี้ขึ้นมา ตอนนั้นมีพวกเราหลายคนนั่งขำ (รวมทั้งตัวเองด้วย) ว่าเอาพวกชอบทุกข์นี่มันเป็นอะไร จะทุกข์อะไรหนักหนา หัวเราะเยาะด้วยความไม่ประสีประสา หัวเราะแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า มันจะวิ่งตามมาทันให้เรารู้จักและสนิทชิดเชื้อกันซะนี่
ที่เขียนเรื่องทุกข์กับสุข ไม่ใช่ถือว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่านทั้งด้านดีด้านร้ายมาอย่างโชกโชน
จำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเราว่า เราเป็นคนที่เขียนเรื่องพวกนี้แบบไม่เคยเข้าถึง เขียนไปแบบนกแก้วนกขุนทอง เหมือนอ่านหนังสือแล้วเป็นครูพักลักจำเขามา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ หนัก ๆ เข้ามีคนวิจารณ์ว่าเลิกเขียนเหอะ เขียนเรื่องอื่นดีกว่า
วิจารณ์แบบตรง หนัก และต่อยแรง
เปล่าหรอก คำวิจารณ์นั้น ๆ ยังไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเขียนเรื่องราวของความสุขความทุกข์ ตรงกันข้ามเรากำลังเขียนจากมุมของเรามากกว่า อะไรที่เรามองเห็น อะไรที่เรากำลังจะมองเห็น และอะไรที่เรายังไม่เห็น
เคยสังเกตตัวเองอยู่เหมือนกัน บางทีพอเจ้าตัวความทุกข์วิ่งเข้ามาปั๊บ สติมาปุ๊บว่าตอนนี้เรารู้สึกแบบนี้ แต่หยุดไม่ได้นะ ยังรู้สึกทุกข์อยู่ ยังจมอยู่กับมัน จะวิ่งจะสลัดอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ถ้าเป็นเรื่องของนักวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง นักวิ่งคนนี้กระโดดไม่ข้ามมากกว่า
เป็นเรื่องราวของคนอ่อนซ้อม
หรือจริง ๆ แล้วรู้ทั้งรู้ แต่ตอนนั้นอารมณ์มันขึ้นมาเหนือเหตุผล มันวิ่งขึ้นมาเหนือสติ
หรือคิดในแง่มุมกลับกัน คนเรามันหลงใหลในความสุขมากเกินไปรึเปล่า ทุกข์บ้างได้ไหม?
กับวัยที่ล่วงเลยกำลังจะเข้าเลขสี่อยู่ไม่กี่เดือนข้างหน้า รู้แต่ว่าเรื่องความสุขความทุกข์ เป็นเรื่องที่เราต้องไม่ประมาท ต้องตั้งมั่นป้อมปราการของเราไว้ให้ดี แต่จะแพ้หรือชนะคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเราก้าวเท้าเดิน ไม่มีใครไม่เดินยกขา ทุกคนต้องยกขาขึ้นถึงจะเดินได้ เหมือนตอนเราจมอยู่กับความทุกข์เหมือนกัน เราจะเดินออกมา หรืออยู่กับที่ อันนี้ไม่มีใครไปบังคับได้ แค่อยากจะบอกว่า ถ้าถึงเวลาต้องก้าวก็ต้องก้าว ถ้าเหนื่อยนัก ไม่มีแรงก็อยู่นิ่ง ๆ ก็ไม่ผิดกติกามารยาทแต่อย่างใด จะเดินถอยหลังเพื่ออาจจะเห็นอะไรที่เราอาจมองไม่เห็นก็ไม่แปลกอะไร
ไม่มีใครสามารถไปตัดสินใคร ๆ ได้ถ้าตัวเองไม่ได้อยู่ ณ สถานการณ์นั้น ๆ
เหมือนที่เราเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า เราเองเลิกตัดสินชีวิตใคร ๆ มานานแล้ว คุณเป็นใคร เราเป็นใคร บางครั้งบางมุมเราเหมือนคนแปลกหน้ากันด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปตัดสินใครเพื่ออะไร และทำไมต้องตัดสิน
ปล. เราเขียนบทความนี้ในวันที่ความสุขกับความทุกข์อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว


วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เยี่ยมเมืองปาย

ทุ่งหญ้าสีเขียว

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนที่เมืองไทย และเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยว
แต่เรากลับมองว่า การเดินทางในฤดูฝนเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยรถบนถนนที่มุ่งหน้าออกสู่ต่างจังหวัดก็ดูบางตาลง ประกอบกับค่าที่พักไม่แพงมากนัก และเราเองไม่จำเป็นต้องไปแย่งกันกินกันใช้แบบช่วงฤดูท่องเที่ยว สถานที่ ๆ เราเดินทางไป ก็ดูเหมือนจะให้เวลากับเราในการเยี่ยมชมเป็นเวลานาน ๆ
ครั้งนี้เรากลับไปปายช่วงโลว์ซีซั่นของที่นั่น
ไม่เหมือนกับตอนไปเมืองนี้ครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนที่เพื่อนซึ่งเป็นคนในพื้นที่พูดกับเราว่า ปายแทบแตก
ครั้งนี้ทำให้เรามองปายแปลกไปจากที่ ๆ หนังสือท่องเที่ยวเล่มแล้วเล่มเล่าได้เขียนบันทึกไว้ และที่แปลกไปอีกอย่างก็คือ ความทรงจำเก่า ๆ เมื่อมาปายเมื่อครั้งที่ยังเป็นนิสิตนักศึกษามันกลับวนเข้ามาในความรู้สึกของเราอีกครั้ง พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า
นี่เป็นปายที่เราเคยรู้จัก
ต้องขอบคุณฝนที่ตกน้อยมากระหว่างที่เราขับรถจากเชียงใหม่ขึ้นไป ทำให้การเดินทางไม่ลำบากมากนัก แม้จะต้องขับผ่านโค้งกว่า 700 โค้ง และต้องขอบคุณฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ และเนรมิตให้ภูเขาทั้งลูก ทุ่งหญ้าทั้งผืนกลายเป็นสีเขียวสด ยืนโดดเด่นราวกับต้อนรับนักเดินทางแปลกหน้าอย่างเรา
และที่ลืมไม่ได้ ต้องขอบคุณฟ้าที่เป็นสีฟ้าเข้ม กับเมฆสีขาว
ตรงถนนคนเดินตอนกลางคืน หลายร้านปิดตัวเองลงด้วยเหตุผลว่าไม่มีนักท่องเที่ยว (รวมถึงร้านโรงอาหารของ เอ๋เพื่อนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน) เอ๋เล่าให้ฟังว่า เปิดไปก็ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย สู้ปิดพักผ่อน นอนเอาแรงเพื่อตั้งหน้าตั้งตารอฤดูท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงดีกว่า
ผู้คนค่อนข้างบางตาในคืนแรกที่เราไป แต่ก็ไม่ได้เหงาจนเกินไปนัก
แปลกดีแฮ่ะ ที่เรารู้สึกว่าเราชอบบรรยากาศแบบนี้มากกว่า
คุยกับเอ๋สัพเพเหระไปตามเรื่อง แล้วก็เลยย้อนถามว่า ชอบแบบไหนมากกว่า ระหว่างคนเยอะกับคนน้อย
หลังจากที่ถามแบบไม่ผ่านรอยหยักของสมอง ก็เหมือนตัวเองปล่อยคำถามโง่ ๆ ออกไป เพราะในฐานะที่เอ๋มีเกสต์เฮ้าส์เล็ก ๆ เป็นของตัวเอง กับร้านอาหารในเมืองอีกหนึ่งร้าน ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบก็คงมากเอาการอยู่ เดาเอาว่าเอ๋น่าจะชอบช่วงไฮซีซั่นมากกว่า
แต่เอ๋กลับตอบว่า ชอบปายช่วงนี้มากกว่า (หว่ะ) มันเหมือนเป็นปายอย่างที่มันเคยเป็น
การทำมาหากินที่ปายนี่เป็นอันรู้กันว่า จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นแค่ 4 เดือนเท่านั้น จะเริ่มก็ประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเรื่อยมาจนถึงปลาย ๆ เดือนกุมภาพันธ์ และอีก 8 เดือนที่เหลือ ดูเหมือนเมืองจะกลายเป็นเมืองร้าง
และความสงบก็กลับคืนสู่ที่นี่อีกครั้ง
จริง ๆ แล้วเราคิดไปเองว่า ธรรมชาติก็คงปรับตัวของมันอยู่เหมือนกัน เพราะก็คงจะดีที่อย่างน้อยก็มีเวลาให้ธรรมชาติได้เบรคตัวเองบ้าง
สรุปว่ากลับไปปายเที่ยวนี้ มีอาการสุขใจเป็นเรื่องธรรมดาของคนชอบเที่ยว และคงจะเก็บมันไว้เป็นพลังในวันข้างหน้า ซึ่งดูเหมือนว่ายังมีอะไรหลายอย่างรอเราอยู่ข้างหน้า วันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ดูจะเป็นคำถามที่แว่บเข้ามาในหัวสมองบ่อย ๆ ช่วงหลัง
เพราะตราบใดที่ชีวิตเรายังต้องเกี่ยวพันอยู่กับใครอีกหลายคน เมื่อนั้นสมการชีวิตของเราคงต้องมีตัวแปรหลายตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง จะถูกต้องหรือถูกใจ? อันนี้คงต้องเลือกเอา

วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนในความทรงจำ


"จิ๋ว" เพื่อนคนนี้ตัวเล็กสมชื่อ เป็นเพื่อนร่วมคณะร่วมภาค ห่างหายกันไปตามกาลเวลา แล้วก็กลับมาพบเจอกันใหม่ ส่วนใหญ่ผ่านทางเอ็มเอสเอ็น คุยกันได้คุยกันดี คุยกันได้ทุกเรื่อง เป็นเพื่อนร่วมสุขร่วมทุกข์ เวลามีปัญหา มักจะมีชื่อนี้แว่บเข้ามาในสมองเป็นอันดับต้น ๆ ความสามารถเฉพาะตัวและเป็นภาพติดตามาตั้งแต่รู้จักกัน คือการร้องเพลงเล่นกีต้าร์ คอนเฟิร์มว่าร้องเพราะเล่นดี ค่ายเทปใดสนใจ โปรดติดต่อ



น่าแปลกที่คนสองคนจะเจอกันทุกช่วงจังหวะของชีวิตตั้งแต่เด็กจนโต "กันย่า" เป็นศัตรูบนสนามบาสเมื่อวัยเด็ก จนกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีม เพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนร่วมคณะ ความเป็นเพื่อนมันมาของมันเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ง่าย ๆ จริง ๆ แล้วเราไม่ค่อยได้คุยอะไรกันเท่าไหร่ เรียกว่าต่างคนต่างมีโลกส่วนตัวสูงว่างั้นเหอะ แต่เราสองคนมักจะใช้ความเงียบคุยกันไปเรื่อย ๆ


 

 "จิรวรรณ" สบายดีไหมเพื่อน? เราไม่ได้เจอกันนานมาก ถามว่าสนิทไหม? ไม่นะ แต่รู้สึกว่าจะอารมณ์ดีเวลามีเธออยู่ในกลุ่ม เป็นคนน่ารัก รื่นเริง คุยเก่ง และอารมณ์ดี ชอบรอยยิ้มที่สดใสทุกครั้งเวลาที่เจอกัน ไว้เจอกันใหม่นะ


คนนี้เพื่อนตัวแสบ "น้องลิง" แสบตั้งแต่เรียนจนกระทั่งเป็นคุณแม่ลูกสาม ดีกรีความแก่นแก้วไม่เคยลดน้อยลงเลย เป็นคนตรง โผงผาง แต่น่ารัก จริงใจ ปาร์ตี้วันหนึ่งวันนั้นเกิดจากเธอเป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งก็ไม่รู้ว่าช่วยทำให้เธอได้รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม? ชีวิตมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องเกิด ขอให้ได้เป็นเพื่อนกันไปอย่างนี้เรื่อย ๆ นะ



"นานา" คนนี้โฉบไปโฉบมาให้ได้เจอกันทุกครั้งที่เราได้กลับเมืองไทย เป็นคนที่เจอแล้วรู้สึกว่ามีพลังงานดี ๆ ถ่ายทอดออกมาทุกครั้ง ไม่มีอะไรมาก ไม่มีอะไรจะบอก แค่อยากจะบอกว่าของที่บ้านมีของรีไซเคิลเพียบ



นอกจากจิ๋ว "นิ้งหน่อง" นี่แหละที่มักจะคิดถึงมันอยู่เสมอ คนอะไรไม่รู้ รู้สึกมันจะเข้าใจเราไปได้ซะทุกเรื่อง ไม่ค่อยได้คุยกันมากมายหรอก แต่เหมือนมันมีอะไรไม่รู้มาสื่อถึงกันได้ เป็นคนคิดดี ทำดี ออกจะขวาง ๆ โลกหน่อย แต่มันก็ขวางได้อย่างน่ารักน่าชัง



"อุ๊บ" หรือ "อีอุ๊บ" ของเพื่อน ๆ คงรู้ว่าตัวเองสวย แต่ชอบตรงที่ไม่ชอบทำสวย ตรงกันข้ามชอบทำอะไรทู่เรศ ๆ ให้เพื่อนแอบเอาไปเม้าท์ เป็นอีกคนที่รู้สึกว่ามี positive energy ถ่ายทอดออกมา เออ ! สปาเก็ตตี้วันนั้นหร่อยจังฮู้




"รุต" หรือรู้จักกันในนาม "เด็กอูฐ" เป็นคนที่มีความสามารถเฉพาะทาง โดยเฉพาะเรื่องถ่ายรูป กินผักไม่เป็น บ้าญี่ปุ่นเป็นพิเศษ พูดออกมาแต่ละทีต้องทำให้เราคิด หรือไม่ก็ถึงกับหน้าเหวอไปเลย แอบคิดเล็ก ๆ ว่า มันคิดไปอย่างงั้นได้ไง (ฟร่ะ)



คนนี้ชื่อ "ปี้" ภรรยาที่น่ารักของเด็กอูฐเค้าล่ะ


"วิภาศัย" คนนี้เป็นต้นแบบของเราในเรื่องความ Independence กล้าที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ชอบเดินทางคนเดียว เช้าวันหนึ่งได้รับอีเมลล์มาต่อว่า ประมาณว่าเราไปทำอะไรให้รึเปล่า ทำไมไม่ติดต่อกันเลย
โอ้ย! ใครไปมีอะไรกับศัยก็แย่แล้ว คิดถึงน่ะมันคิดถึง แต่บางทีก็ไม่รู้จะเริ่มต้นเล่าสิ่งที่เราเป็นอยู่ ณ ตอนนั้นให้ฟังยังไงมากกว่า เอาเป็นว่าไม่น้อยใจกันนะจ๊ะ



อันนี้เราเอง



คนนี้มาได้ไงไม่รุ

ปล การเรียงรูปไม่ได้เรียงตามลำดับความรัก แต่เรียงลำดับตามความสะดวกว่ารูปใครมาก่อนได้ขึ้นก่อน ขอบคุณสำหรับวันหนึ่งวันนั้นปาร์ตี้ ขอเอาคำน้องลิงมาพูดอีกครั้ง "เพื่อนกันไม่มีวันหมดอายุ"

 


วันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สีของฟ้า

เมื่อฟ้ายังเป็นสีฟ้า


บนถนนที่เราเดินทาง


ไม่โดดเดี่ยวจนเกินไป


มีคนแปลกหน้าผ่านมาตามทาง


บนถนนไกลสุดลูกหูลูกตา


กับต้นไม้สีเขียวตามรายทาง


เมื่อถึงเวลาจะออกเดินทางอีกครั้งหนึ่ง