วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยสุขกับทุกข์

ขาว, ดำ, เทา, แดดส่อง, กับใบหญ้า

หลาย ๆ ปีให้หลัง ต้องยอมรับว่าเรารู้สึกจะชอบจมอยู่กับ ทุกขนิยมมากกว่า สุขนิยมจนบางทีสงสัยไปเองว่า นี่เราไปเริ่มคบหากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปชอบพอกันตั้งแต่ไหน ทำไมเผลอไปไม่กี่ปีกลับกลายมาเป็นเพื่อนสนิทไปซะงั้น
ไม่มีใครอยากทุกข์
เรื่องของคนที่ทุกข์ ไม่ใช่คนโง่ที่คิดไม่ได้ หรือคิดไม่เป็น
คิดได้ คิดเป็น แต่ก้าวไม่ข้ามมากกว่า
ไอ้เจ้าคำสองคำนี้พูดกันในวงสนทนากับเพื่อน ๆ จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนสร้างคำนี้ขึ้นมา ตอนนั้นมีพวกเราหลายคนนั่งขำ (รวมทั้งตัวเองด้วย) ว่าเอาพวกชอบทุกข์นี่มันเป็นอะไร จะทุกข์อะไรหนักหนา หัวเราะเยาะด้วยความไม่ประสีประสา หัวเราะแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า มันจะวิ่งตามมาทันให้เรารู้จักและสนิทชิดเชื้อกันซะนี่
ที่เขียนเรื่องทุกข์กับสุข ไม่ใช่ถือว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่านทั้งด้านดีด้านร้ายมาอย่างโชกโชน
จำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเราว่า เราเป็นคนที่เขียนเรื่องพวกนี้แบบไม่เคยเข้าถึง เขียนไปแบบนกแก้วนกขุนทอง เหมือนอ่านหนังสือแล้วเป็นครูพักลักจำเขามา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ หนัก ๆ เข้ามีคนวิจารณ์ว่าเลิกเขียนเหอะ เขียนเรื่องอื่นดีกว่า
วิจารณ์แบบตรง หนัก และต่อยแรง
เปล่าหรอก คำวิจารณ์นั้น ๆ ยังไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเขียนเรื่องราวของความสุขความทุกข์ ตรงกันข้ามเรากำลังเขียนจากมุมของเรามากกว่า อะไรที่เรามองเห็น อะไรที่เรากำลังจะมองเห็น และอะไรที่เรายังไม่เห็น
เคยสังเกตตัวเองอยู่เหมือนกัน บางทีพอเจ้าตัวความทุกข์วิ่งเข้ามาปั๊บ สติมาปุ๊บว่าตอนนี้เรารู้สึกแบบนี้ แต่หยุดไม่ได้นะ ยังรู้สึกทุกข์อยู่ ยังจมอยู่กับมัน จะวิ่งจะสลัดอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ถ้าเป็นเรื่องของนักวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง นักวิ่งคนนี้กระโดดไม่ข้ามมากกว่า
เป็นเรื่องราวของคนอ่อนซ้อม
หรือจริง ๆ แล้วรู้ทั้งรู้ แต่ตอนนั้นอารมณ์มันขึ้นมาเหนือเหตุผล มันวิ่งขึ้นมาเหนือสติ
หรือคิดในแง่มุมกลับกัน คนเรามันหลงใหลในความสุขมากเกินไปรึเปล่า ทุกข์บ้างได้ไหม?
กับวัยที่ล่วงเลยกำลังจะเข้าเลขสี่อยู่ไม่กี่เดือนข้างหน้า รู้แต่ว่าเรื่องความสุขความทุกข์ เป็นเรื่องที่เราต้องไม่ประมาท ต้องตั้งมั่นป้อมปราการของเราไว้ให้ดี แต่จะแพ้หรือชนะคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเราก้าวเท้าเดิน ไม่มีใครไม่เดินยกขา ทุกคนต้องยกขาขึ้นถึงจะเดินได้ เหมือนตอนเราจมอยู่กับความทุกข์เหมือนกัน เราจะเดินออกมา หรืออยู่กับที่ อันนี้ไม่มีใครไปบังคับได้ แค่อยากจะบอกว่า ถ้าถึงเวลาต้องก้าวก็ต้องก้าว ถ้าเหนื่อยนัก ไม่มีแรงก็อยู่นิ่ง ๆ ก็ไม่ผิดกติกามารยาทแต่อย่างใด จะเดินถอยหลังเพื่ออาจจะเห็นอะไรที่เราอาจมองไม่เห็นก็ไม่แปลกอะไร
ไม่มีใครสามารถไปตัดสินใคร ๆ ได้ถ้าตัวเองไม่ได้อยู่ ณ สถานการณ์นั้น ๆ
เหมือนที่เราเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า เราเองเลิกตัดสินชีวิตใคร ๆ มานานแล้ว คุณเป็นใคร เราเป็นใคร บางครั้งบางมุมเราเหมือนคนแปลกหน้ากันด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปตัดสินใครเพื่ออะไร และทำไมต้องตัดสิน
ปล. เราเขียนบทความนี้ในวันที่ความสุขกับความทุกข์อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น