วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เยี่ยมเมืองปาย

ทุ่งหญ้าสีเขียว

ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูฝนที่เมืองไทย และเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยว
แต่เรากลับมองว่า การเดินทางในฤดูฝนเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่ง
อย่างน้อยรถบนถนนที่มุ่งหน้าออกสู่ต่างจังหวัดก็ดูบางตาลง ประกอบกับค่าที่พักไม่แพงมากนัก และเราเองไม่จำเป็นต้องไปแย่งกันกินกันใช้แบบช่วงฤดูท่องเที่ยว สถานที่ ๆ เราเดินทางไป ก็ดูเหมือนจะให้เวลากับเราในการเยี่ยมชมเป็นเวลานาน ๆ
ครั้งนี้เรากลับไปปายช่วงโลว์ซีซั่นของที่นั่น
ไม่เหมือนกับตอนไปเมืองนี้ครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว ตอนที่เพื่อนซึ่งเป็นคนในพื้นที่พูดกับเราว่า ปายแทบแตก
ครั้งนี้ทำให้เรามองปายแปลกไปจากที่ ๆ หนังสือท่องเที่ยวเล่มแล้วเล่มเล่าได้เขียนบันทึกไว้ และที่แปลกไปอีกอย่างก็คือ ความทรงจำเก่า ๆ เมื่อมาปายเมื่อครั้งที่ยังเป็นนิสิตนักศึกษามันกลับวนเข้ามาในความรู้สึกของเราอีกครั้ง พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า
นี่เป็นปายที่เราเคยรู้จัก
ต้องขอบคุณฝนที่ตกน้อยมากระหว่างที่เราขับรถจากเชียงใหม่ขึ้นไป ทำให้การเดินทางไม่ลำบากมากนัก แม้จะต้องขับผ่านโค้งกว่า 700 โค้ง และต้องขอบคุณฝนที่ตกลงมาก่อนหน้านี้ และเนรมิตให้ภูเขาทั้งลูก ทุ่งหญ้าทั้งผืนกลายเป็นสีเขียวสด ยืนโดดเด่นราวกับต้อนรับนักเดินทางแปลกหน้าอย่างเรา
และที่ลืมไม่ได้ ต้องขอบคุณฟ้าที่เป็นสีฟ้าเข้ม กับเมฆสีขาว
ตรงถนนคนเดินตอนกลางคืน หลายร้านปิดตัวเองลงด้วยเหตุผลว่าไม่มีนักท่องเที่ยว (รวมถึงร้านโรงอาหารของ เอ๋เพื่อนสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยด้วยกัน) เอ๋เล่าให้ฟังว่า เปิดไปก็ไม่คุ้มกับค่าใช้จ่าย สู้ปิดพักผ่อน นอนเอาแรงเพื่อตั้งหน้าตั้งตารอฤดูท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงดีกว่า
ผู้คนค่อนข้างบางตาในคืนแรกที่เราไป แต่ก็ไม่ได้เหงาจนเกินไปนัก
แปลกดีแฮ่ะ ที่เรารู้สึกว่าเราชอบบรรยากาศแบบนี้มากกว่า
คุยกับเอ๋สัพเพเหระไปตามเรื่อง แล้วก็เลยย้อนถามว่า ชอบแบบไหนมากกว่า ระหว่างคนเยอะกับคนน้อย
หลังจากที่ถามแบบไม่ผ่านรอยหยักของสมอง ก็เหมือนตัวเองปล่อยคำถามโง่ ๆ ออกไป เพราะในฐานะที่เอ๋มีเกสต์เฮ้าส์เล็ก ๆ เป็นของตัวเอง กับร้านอาหารในเมืองอีกหนึ่งร้าน ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบก็คงมากเอาการอยู่ เดาเอาว่าเอ๋น่าจะชอบช่วงไฮซีซั่นมากกว่า
แต่เอ๋กลับตอบว่า ชอบปายช่วงนี้มากกว่า (หว่ะ) มันเหมือนเป็นปายอย่างที่มันเคยเป็น
การทำมาหากินที่ปายนี่เป็นอันรู้กันว่า จะมีนักท่องเที่ยวหนาแน่นแค่ 4 เดือนเท่านั้น จะเริ่มก็ประมาณเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเรื่อยมาจนถึงปลาย ๆ เดือนกุมภาพันธ์ และอีก 8 เดือนที่เหลือ ดูเหมือนเมืองจะกลายเป็นเมืองร้าง
และความสงบก็กลับคืนสู่ที่นี่อีกครั้ง
จริง ๆ แล้วเราคิดไปเองว่า ธรรมชาติก็คงปรับตัวของมันอยู่เหมือนกัน เพราะก็คงจะดีที่อย่างน้อยก็มีเวลาให้ธรรมชาติได้เบรคตัวเองบ้าง
สรุปว่ากลับไปปายเที่ยวนี้ มีอาการสุขใจเป็นเรื่องธรรมดาของคนชอบเที่ยว และคงจะเก็บมันไว้เป็นพลังในวันข้างหน้า ซึ่งดูเหมือนว่ายังมีอะไรหลายอย่างรอเราอยู่ข้างหน้า วันนี้ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ดูจะเป็นคำถามที่แว่บเข้ามาในหัวสมองบ่อย ๆ ช่วงหลัง
เพราะตราบใดที่ชีวิตเรายังต้องเกี่ยวพันอยู่กับใครอีกหลายคน เมื่อนั้นสมการชีวิตของเราคงต้องมีตัวแปรหลายตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง จะถูกต้องหรือถูกใจ? อันนี้คงต้องเลือกเอา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น