วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม (ภาคต่อ)

เครดิตรูปภาพจาก www.thaistartv.co.th

มีบ้าน แต่อยู่ไม่ได้
มีรถ แต่ขับไม่ได้
มีเงิน แต่ของไม่มีให้ซื้อ
และที่สำคัญ เรากำลังตกอยู่ในสภาพความหวาดกลัว ว่าน้ำจะมาท่วมบ้านเมื่อไหร่
นี่คือสภาพของเมืองไทยที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลานี้ ปีนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในปีที่น้ำท่วมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ชาวบ้านทั้งต่างจังหวัดและกรุงเทพ ฯ โดนกันทั่วทุกหัวระแหง เรียกได้ว่า ธรรมชาติกำลังเอาคืน แบบจัดหนักและจัดเต็ม
แต่แทนที่เราจะทนอยู่กับความหวาดกลัว ว่าน้ำจะมาเมื่อไหร่ มาแรงไหม และต้องอพยพอย่างไร เราลองใช้สติมาลองทำความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของน้ำกันดีกว่า
น้ำเป็นของเหลว มันต้องไหลไปที่ไหนสักที่ แม้ว่าเราจะสร้างสิ่งกีดขวาง เพื่อขัดขวางมันไม่ให้เข้ามา หรือพยายามจะเปลี่ยนทิศทางให้มันไปทางอื่น ความจริงหนึ่งอย่างที่เราต้องไม่ลืมก็คือ น้ำมันจะต้องหาทางไปของมันเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทุกวันนี้เราจมอยู่กับข่าวสาร ปล่อยให้มันกรอกหูและสร้างความหวาดกลัวให้กับเรา หลายคนยอมรับว่าเครียดว่ากลัวไม่มีบ้านบ้านจะอยู่ รถจะจมไหม เป็นห่วงพ่อแม่ ไม่รู้จะต้องใช้เงินอีกเท่าไหร่นับต่อจากนี้ หรือแม้แต่ว่าวันนี้น้ำจะมาหรือยัง จะถึงคิวเราอพยพแล้วใช่ไหม
นี่คือข้อเสนอของประชาชนคนหนึ่ง
ในเมื่อน้ำมันต้องท่วม อยากให้รัฐบาลและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ออกมายอมรับและประกาศเตือนประชาชนให้ได้รู้และยอมรับกับสภาพที่เกิดขึ้น อย่าบอกว่าไม่ท่วม เราควมคุมได้ แต่จริง ๆ แล้วมันต้องท่วม นี่คือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นกับทุกพื้นที่ตั้งแต่จังหวัดภาคเหนือไล่ลงมา
ตอนนี้เชื่อว่าพวกเราทุกคนไม่ต้องการอะไร
นอกจากความจริง
ถ้ามันจะท่วม ท่วมเมื่อไหร่
นานแค่ไหน
การซื้อเวลา หรือการขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะเสียกับเสีย อยากให้รัฐบาลลองหันกลับไปย้อนดูกับไม่กี่เดือนที่ผ่านมากับการบริหารประเทศของท่าน
และเมื่อเรายอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เมื่อนั้นเชื่อว่าสัญชาติญาณการเอาตัวรอดของทุกคนจะได้เอาออกมาใช้กันเต็มที่ ว่าเราจะกินจะอยู่จะใช้กันอย่างไร กับระยะเวลา (ที่รัฐบาลต้องบอกความจริง) ที่เราจะต้องตกอยู่ในภาวะน้ำท่วมบ้าน
ออกมายอมรับความจริง
และพูดความจริง
ณ เวลานี้กันดีกว่า

  

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วม


เครดิตรูปจากอุ๊บ เพื่อนนิเทศที่ช่วยลำเลียงของไปช่วยคนน้ำท่วมแถวจังหวัดอยุธยา

ต้องยอมรับว่าประเทศไทยกำลังตกอยู่ในช่วงวิกฤต โดยเฉพาะกรุงเทพ ฯ เพราะน้ำเหนือไหลบ่าเข้ามาจ่อล้อมรอบทุกมุมเมือง ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดปทุมธานี, นนทบุรี, หรือสมุทรปราการ คิดง่าย ๆ ตอนนี้เมืองกรุงเทพเหมือนไข่แดงที่มีน้ำล้อมเต็มไปหมด
มีลุ้นกันหลายที่ในวินาทีนี้ว่าจะท่วมหรือรอด!
อันนี้รวมถึงบ้านของเราเองด้วย ที่มีพำนักติดเลียบคลองประปา และบนถนนแจ้งวัฒนะ
รู้ว่าธรรมชาติคงกำลังจะเอาคืน กับสิ่งที่พวกเราเบียดเบียนเขามาตลอดหลายสิบปี ก่อนนั้นคนกรุงเทพ ฯ คงนึกไม่ออกว่า ชาวบ้านตามต่างจังหวัดเขาเดือดร้อนกันอย่างไร ที่ต้องเสียบ้านเป็นหลัง ๆ หรือต้องทนอยู่บนชั้นสองของบ้านนับเวลาเป็นเดือน ๆ
วันนี้ที่เราพูดกันหนาหู, หวาดกลัว, บางคนเป็นถึงนอนไม่หลับเพราะต้องคอยเฝ้าระดับน้ำ
เพราะน้ำมันใกล้ตัวเราเข้ามาขึ้นทุกที
แต่ไม่อยากให้พวกเราวิตกจนเกินไป ในความกังวลคงจะต้องมีเป็นธรรมดา แต่ขอให้กังวลอย่างมีสติ และเตรียมพร้อมรับมือกับมันเต็มกำลังที่เราจะมี อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้เรารู้ว่า ถึงแม้โลกภายนอกของเราจะรับรู้มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ประเทศของเราได้แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย หลายค่ายหลากสี
แต่วันนี้เรารวมใจเป็นหนึ่งเดียว
ผนึกกำลังเพื่อก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
ในวิกฤตย่อมมีโอกาส และสิ่งดี ๆ ที่เราไม่ควรมองข้าม อย่างน้อยในตอนนี้ คนไทยต้องสามัคคีและไม่ทิ้งกัน แล้วเราคงจะก้าวผ่านมันไปเหมือนวิกฤตทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา
ในช่วงที่น้ำกำลังจ่อเข้ากรุงเทพ ฯ สิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดก็คือ ทำอะไรได้ก็ให้ทำไปก่อน เตรียมตัวให้พร้อม ถ้าจำเป็นต้องอพยพจากบ้านก็ต้องไป อันนี้ต้องทำใจไว้เลย ความเสียหายมันมีแน่ ๆ อยู่แล้ว แต่อยากให้คิดเสียว่า เงินทองของนอกกาย ให้เรารักษาชีวิตของเราไว้ก่อน ไม่ตายก็หาใหม่ได้
จริง ๆ แล้วถ้าจะมองในแง่ดี คนอื่นเขาเดือนร้อนเพราะน้ำท่วมมาไม่รู้กี่เดือนแล้ว เราคนกรุงเทพ ฯ จะท่วมบ้างก็คงไม่เป็นไรนัก คิดเสียว่าคนอื่นเขาเดือดร้อนกว่าเราตั้งเยอะ แล้วเราจะไปทุกข์ทำไม ถ้าน้ำมันจะท่วมก็ปล่อยมัน แล้วเราค่อยกลับมาซ่อมก็ได้
ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับอยู่นี้ ก็กำลังรอลุ้นว่าบ้านป๊าที่แถวคลองประปา กับบ้านพี่ชายตรงถนนแจ้งวัฒนะ จะรอดหรือไม่รอดเหมือนกัน เอาเป็นว่าส่งกำลังใจไปให้คนกรุงเทพ ฯ และทุกคนตอนนี้ที่กำลังเผชิญวิกฤตอยู่ในขณะนี้
อย่าลืมว่าเราต้องสู้
ไม่ท้อ
ที่สำคัญต้องมีสติ เกิดอะไรขึ้นมา คิดไปได้เลยว่าจะต้องทำอะไร 1…2…3…
มาถึงเวลานี้เชื่อว่าคนไทยในแอลเอทุกคน ร่วมเป็นกำลังใจให้ประเทศของเราก้าวผ่านวิกฤตน้ำหลากครั้งนี้ไปด้วยกัน

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

พอดี

เครดิตรูปจาก http://www.beautyfullallday.com/

ไม่ได้มานั่งบ่นเรื่องอ้วนให้ฟังหรอกนะคะ แต่ตอนนี้เวลาไปเดินตามห้างสรรพสินค้า หรือได้ยินโฆษณา (ไม่แน่ใจว่าชวนเชื่อรึเปล่า) จากทางทีวีที่กรอกใส่เราปาว ๆ ทุกวัน ต้องยอมรับจริง ๆ ว่าหนุ่มสาวสมัยนี้เขาเป็นห่วงเรื่องความสวยความงามกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
ดูเอาจากคนใกล้ตัว ชักชวนกันกินโน่นกินนี่ เพื่อจะแลกกับความสุขเมื่อยืนอยู่บนเครื่องชั่งน้ำหนัก ไอ้เราก็บ้าตามเขาไปด้วย ลองกินเพราะด้วยความอยากรู้ เอาตัวเองเป็นหนูทดลองยาว่างั้นเถอะ เออ แล้วมันก็น้ำหนักลดลงจนได้นะ แต่ก็อย่างว่า ถ้าเราไม่ควบคุมอาหาร ยังขี้เกียจไปออกกำลังกาย ความอ้วนก็ยังตามตัวเรามาติด ๆ อยู่ดี
พอน้ำหนักลด คราวนี้กลับกลายเป็นทุกข์อย่างอื่น ประมาณว่าจะรักษาน้ำหนักตัวแบบนี้ไปได้นานอีกเท่าไหร่ หรือไม่ก็อยากจะลดน้ำหนักให้มันมากไปกว่านี้อีก นี่แหละทุกข์ของมนุษย์ (ที่ไม่มีอะไรจะทำ) อย่างเราโดยแท้
อย่างบ้านที่เราอยู่ก็เหมือนกัน วันดีคืนดีน้ำก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ตรงพื้นบ้าน หาสาเหตุก็ไม่เจอ เดาเอาว่ามันชอบเป็นช่วงฝนตกหนัก ๆ แต่ต้นเหตุของน้ำที่ซึมเข้ามาในบ้านได้อย่างไรนี่อยากจะเดา เรียกช่างมาหลายหน เขาก็ได้แต่รับปากว่าจะมาดูให้ แต่ไม่เคยโผล่หน้ามาตามที่นัดกันเสียที
กับประตูอัตโนมัติหน้าบ้านก็เหมือนกัน มันจะเปิดจะปิดแบบตามใจฉัน บางทีเรากดปิด มันดันเปิด บางทีเรากดเปิด มันดันกดปิด จนเกือบจะชนท้ายรถหลายหน เพราะประตูอัตโนมัติที่นี่เขาไม่มีเซ็นเซอร์ ทำให้พาลนึกถึงบ้านที่มีเด็ก และมีประตูอัตโนมัติแบบนี้ นับว่าเป็นอันตรายมากถ้าลูกหลานเราบังเอิญไปยืนอยู่ตรงกลางระหว่างประตูที่กำลังจะปิดพอดี
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ของที่เราได้มานั้นมันไม่เคยพอดีหรือดีพอ เมื่ออยากได้ของบางอย่าง ไม่ได้มาก็ต้องไปขวนขวายหามาให้ได้ แต่พอไปหาซื้อมาเป็นเจ้าเข้าเจ้าของมัน นาน ๆ เข้าไปก็เป็นทุกข์ เพราะความต้องการของเรามันมีมากเกินความพอดี
ไอ้ตอนซื้อก็คิดแค่ว่าอยากได้ มันคงจะทำให้ชีวิตเราสบายขึ้นเยอะ คิดไปเป็นตุเป็นตะ แต่พอไป ๆ มา ๆ กลับกลายมาเป็นภาระอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คิด ๆ ไปของแบบนี้มีหลายอย่างนะในชีวิตเรา
อย่างเช่น บ้าน, คอนโด, ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, คอมพิวเตอร์, ไอโฟน, ไอแพด ฯ ล ฯ
หลายอย่างในชีวิตของคนเรา มันเข้ามาคล้าย ๆ แบบนี้แหละ ยิ่งมีเยอะยิ่งเป็นภาระ เอาแบบไม่มีอะไรผูกขามาก นั่นนับเป็นเรื่องที่น่ายินดี เวลาจะไปจะได้ไม่ต้องทิ้งภาระให้คนข้างหลังมากนัก เอาให้ตัวเบา ๆ โล่ง ๆ เวลาจะเดินออกไปมันไม่ต้องออกแรงมากนัก
ที่เขียนแบบนี้ ไม่ใช่ว่าความอยากมี อยากได้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ความอยากเหล่านี้ ควรมีในปริมาณที่เหมาะสม และจะเหมาะสมอย่างไร อันนี้คงขึ้นอยู่กับแต่ละคน เอาเป็นว่าอะไรที่เกินกำลังเราไปมาก ก็ปล่อย ๆ มันไปเสียเถอะ ชีวิตเราเดินมาถึงทุกวันนี้ได้ ก็นับว่าดีเหลือเกินแล้ว
ว่าแต่อ่านบทความนี่จบ อย่าลืมมานั่งนึกกันนะคะว่า เรามีของอย่างว่าเยอะไหม?  

วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

คาราโอเกะ

เครดิตรูปจาก http://www.oknation.net/
เชื่อไหมว่าร้อยทั้งร้อย คงต้องมีอยู่วินาทีหนึ่งที่คนชอบร้องคาราโอเกะ จะต้องวาดภาพว่าตัวเองเป็นนักร้องชื่อดัง ไม่พี่ตูน บอดี้แสลมก็เป็นน้องดา เอ็นโดรฟิน ที่ได้มีโอกาสยืนร้องเพลงอยู่บนเวที
คาราโอเกะเหมือนเป็นส่วนที่มาเติมเต็มความฝันของคนธรรมดาอย่างเรา ๆ อย่างน้อยในช่วงหนึ่ง หรือในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็สามารถเติมเต็มความฝันที่มันขาดหาย หรือในสิ่งไม่มีวันเป็นจริงไปได้
จึงไม่น่าแปลกใจ ที่หลายคนจะชอบร้องคาราโอเกะ
เป็นความบังเอิญที่เราได้มีโอกาสผ่านไปฟังคนชอบร้องคาราโอเกะ พาลให้นึกไปว่า ความฝันแบบนี้ซื้อหาได้ไม่ยาก และคงจะเป็นบางเหตุผลที่ทำให้คาราโอเกะฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง
ตอนที่เขาหรือเธอยืนอยู่บนเวที มือถือไมโครโฟน ปากขยับร้องตามเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บอกจังหวะให้ร้องตามอย่างช้า ๆ ประกอบกับมีไฟส่องหน้าอยู่บนเวทีเล็ก ๆ คงจะเป็นตอนนั้นเอง ที่ความฝันได้ออกมาเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง
แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ก็เถอะ
อาทิตย์ก่อนไปนั่งร้านอาหารชานกรุง แล้วได้ฟังน้า ๆ ป้า ๆ ลุง ๆ ถ้ารวมอายุกันคงปาเข้าไปกว่าหลักพัน ได้มีโอกาสมาปล่อยลีลาบนเวทีเล็ก ๆ แล้วรู้สึกประทับใจ ประมาณว่าชนินทร์ นันทนาคร หรือ ศรีไสล ชาติวุฒิมาขับกล่อมเพลงให้ฟังอย่างไรอย่างนั้น
ยังต้องรวมถึง เวทีเต้นรำเล็ก ๆ หน้าเวที ซึ่งมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาโชว์ลีลาไม่ซ้ำในแต่ละเพลง เรียกได้ว่าในวันนั้น เราเองก็ได้ย้อนเวลากลับไปหาพวกจังหวะรุมบ้า ชะช่าช่า หรือแทงโก้ที่ขาดหายไปจากวงจรชีวิตมานาน
รู้สึกเป็นสุนทรียภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในชีวิตประจำวัน เพราะส่วนใหญ่จะเห็นแต่วัยรุ่นเต้นท่าทางแบบโดนน้ำร้อนลวกไปมามากกว่า วันนั้นถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งจากพี่ ๆ น้อง ๆ น้า ๆ ป้า ๆ ลุง ๆ ที่เราไม่รู้จักมาเต้นและร้องในจังหวะที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนัก
และต้องขอบคุณคาราโอเกะ ที่อย่างน้อยมันทำให้ความฝันของใครหลายคนได้แสดงออกมาเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนกว่าครั้งไหน ๆ
เชื่อว่าทุกคนต่างมีความฝัน นอกจากการเป็นนักร้อง คงยังมีอีกหลายคนที่อยากเป็นโน่นอยากเป็นนี่ การมีความฝันเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่ขึ้นอยู่กับความตั้งใจและโอกาสในการหยิบยื่น ที่จะเปลี่ยนความฝันเป็นความจริงได้หรือไม่มากกว่า
ขอเพียงแค่ตั้งใจ
และโอกาสที่หยิบยื่น
เชื่อว่าแค่สองสิ่งนี้ คงจะทำให้ความฝันของคนหลายคนไม่เป็นความฝันอีกต่อไป และเพียงแต่ถ้าเรามีโอกาสเป็นผู้หยิบยื่นคนนั้น คงจะมีอีกหลายคนในค่ำคืนนี้ ได้เห็นความฝันกลายเป็นความจริง และกำลังมายักย้ายส่ายสะโพกอยู่ตรงหน้า