วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิ่งตาม

(เครดิตรูปจาก zone-it.com)

วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง อีกเดือนกว่าจะใกล้ปีใหม่อีกแล้ว
เหมือนใครมาแกล้งหมุนเข็มนาฬิกาให้มันหมุนไวขึ้นกว่าเดิม
เคยถามตัวเองแบบโง่ ๆ บางทีเราใช้ชีวิตแบบให้หมดไปวัน ๆ รึเปล่า เหมือนคนล่องลอยแบบไม่มีอนาคต วางแผนคิดวาดฝันอะไรไว้ มันก็ได้เห็นกันแค่ในจินตนาการ มองย้อนกลับไปในปีนี้ ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราโง่รึเปล่าที่ไม่ฉลาดในการใช้ชีวิต มันไม่ใชเรื่องของความโง่หรือไม่โง่ (คิดแบบเข้าข้างตัวเอง) ของบางอย่างแค่มาแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาก็เท่านั้นเอง
มีเพื่อนหลายคนถามว่า จะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่เมื่อไร?
คำถามนี้เหมือนมาสะกิดความฝันของตัวเองอยู่ลึก ๆ เหมือนกันนะ ถ้าถามว่าอยากทำอะไรที่สุดในระยะเวลาหนึ่งปี สองปีจากนี้ คงตอบแบบไม่ต้องคิดว่า อยากเขียนหนังสือ เพราะการเขียนหนังสือเป็นสิ่งที่ตัวเองมีความสุขที่สุด แต่ในโลกของความเป็นจริงก็คือ หนังสือขายไม่ค่อยออก (ฮา…)
จากประสบการณ์ของการออกหนังสือ บันทึกฅนเล่าเรื่อง” (ขอแอบโฆษณานิดนึง) การออกหนังสือหนึ่งเล่มไม่ยาก แต่จะขายได้ไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ทุกวันนี้ยังมีหนังสือเหลือทิ้งไว้ที่ห้องเก็บของอยู่บ้าง และบางส่วนยังวางอยู่ที่หิ้งร้านขายหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ (อันนี้เป็นความภูมิใจส่วนตัว)
จากคนไม่มีอะไร จากคนไม่รู้จักใคร ไม่รู้จัก connection กับใครหรือองค์กรไหน นอกจากความอยากที่จะมีหนังสือเป็นของตัวเอง แล้วยังต้องมีความบ้าอยู่ในตัวเองพอสมควร ตอนนั้นทำไปโดยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอย่างไร อะไร คิดแค่ว่าอยากจะทำอยากจะเห็นหนึ่งในความฝันของตัวเอง สามารถจับต้องได้ และต้องขอบคุณครอบครัวและเพื่อนสนิทอีกหลายคน ที่ทำให้ความฝันของคน ๆ หนึ่งกลายมาเป็นความจริง
อันนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่ผ่านไปแล้วในรอบปีกว่าที่ผ่านมา
คราวนี้เรามาลองไปข้างหน้ากันบ้าง
ใครมีความฝันล้อมวงกันเข้ามาเสียงเพลงของวงเฉลียงเหมือนจะลอยตามลมเข้ามาทางช่องหน้าต่างยังไงยังงั้น
เริ่มความฝันแรก ก็คืออยากเห็นพ่อแม่ได้ปลดเกษียณวางมือจากการทำงานเสียที และการจะทำได้แบบนั้น เราคงต้องสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ก่อนอื่น เพราะที่เขาทั้งคู่ไม่ยอมวางมือ เพราะคงเห็นว่าเราอายุตั้งสี่สิบ ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรกับเขาเลย เขียนมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าบางครั้งตัวเองเหมือนลูกอกตัญูญู ไม่เคยได้มีโอกาสตอบแทนอะไรเขาบ้างเลย
มีคำถามของน้องสาวลอยเข้ามาในสมองว่า
พ่อกับแม่จะอยู่กับเราได้อีกกี่ปี
ถ้าอยากจะทำอะไร ต้องรีบทำ
พอคิดได้แบบนี้ มันเหมือนกระตุ้นเซลล์สมองส่วนที่ไม่เคยรับผิดชอบกับชีวิตใครเหมือนกันนะ ว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะพ่อกับแม่ เพราะอย่างที่น้องสาวว่า เขาคงอยู่กับเราไม่นาน ลองคิดดูพ่ออายุ 73 ปียังดิ้นรนเพื่อที่จะมั่นใจว่า วันที่เขาจากไปพวกเราพี่น้องสามคนจะใช้ชีวิตอยู่กันไปได้แบบไม่ลำบากมากนัก กับแม่ที่อายุปาเข้าไป 67 ปี ทุกวันนี้ตีห้ายังคงไปเป็นผู้กำกับอยู่ที่ร้านอาหารอยู่เหมือนเดิม
ความฝันอย่างที่สอง เหมือนตอบสนองกับโจทย์ข้อแรก คืออยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เพิ่งรู้ตัวเองไม่นานว่า บางทีพฤติกรรมของแม่คงจะซึมซับเข้ามา อยากเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ เลี้ยงตัวเองได้ และมีเวลาไปเขียนหนังสืออย่างที่ตัวเองอยากทำ
ความฝันยังคงจะเป็นความฝันวนเวียนอยู่แบบนี้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง เชื่อว่าทุกคนต่างมีความฝัน
ถือเวลาว่าได้ฤกษ์ใกล้ปีใหม่นี้ ตะลุยความฝันให้มันกลายเป็นความจริง 
ถึงเราจะมีความฝันที่ต่างกัน แต่เราก็สามารถทำไปพร้อมกันได้


วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เชียงใหม่ (อีกครั้ง)

(เครดิตภาพและเรื่องจากหมู)

การเดินทางแต่ละครั้ง ของแต่ละคน แม้จะไปยังสถานที่เดียวกัน แต่มุมมองและความรู้สึกสนุกสนานไปกับการผจญภัยแต่ละครั้ง ย่อมแตกต่างกันไป

อันนี้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล

อาทิตย์นี้มีเรื่องราวของเพื่อนใหม่ ที่แอบหนีไปเที่ยวเชียงใหม่ มาเป็นนักเขียนรับเชิญในคอลัมน์

อย่างแรกเห็นว่า คนอ่านอาจจะเบื่อนักเขียนประจำอย่างเราบ้างไรบ้าง

อย่างที่สองคิดว่า ตัวเองก็เพิ่งขับรถขึ้นเหนือไปไม่กี่เดือน (ถ้าใครติดตามคอลัมน์ต่างองศาคงจำกันได้) เราเองก็เห็นเชียงใหม่ในแบบของเรา คราวนี้ลองให้คนอื่นมาแชร์ในสิ่งที่เขาเห็นบ้าง

เรื่องราวของการมองโลกย่อมแตกต่าง

อย่างสุดท้ายคิดว่า อยากให้เป็นคอลัมน์ที่เปิดกว้าง ให้มาแชร์อะไร ๆ ร่วมกัน ว่าแล้วก็อย่ารอช้า รีบไล่สายตาลงไปอ่านโดยพลัน

เป็นธรรมดาของคนไทย เข้าช่วงอากาศเย็นก็ต้องขึ้นเหนือไปสัมผัสความเย็น ก็คงต้องบอกว่าเชียงใหม่ยังคงเป็นจังหวัดยอดฮิตที่คนไทยชอบไปอยู่ดี เพราะมีทั้งความเป็นธรรมชาติ กลิ่นอายวัฒนธรรมล้านนา และความฟุ้งเฟ้อของสังคมเมืองภายในที่เดียวกัน

วันแรกที่ไปถึงเชียงใหม่ คิดว่าก็คงได้เดินเล่นที่เดิม ๆ กินอะไรเดิม ๆ ที่เค้าบอกว่าอร่อยกัน แต่กลับผิดคาด เราเริ่ม trip ด้วยการตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน คนขี่ก็ไม่เคยขี่มาก่อน อาศัยว่าขี่จักรยานเป็นก็คงขี่มอเตอร์ไซค์ได้เหมือนกัน คนนั่งซ้อนท้ายไม่ต้องพูดถึงขี่ไม่เป็น พร้อมเป็นภาระอันหนักหน่วง เพราะตัวอ้วนอีกต่างหาก

นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตการซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วกลัวที่สุดระทึกที่สุด แต่นึกถึงทีไรก็ต้องอมยิ้มไปขำไปทุกครั้งทีเดียว

เชียงใหม่ยุคนี้ขับรถไปไหนก็ต้องวนรอบคูเมืองเพราะถนนมัน one way ด้วยความไม่คุ้นเคยเพราะไม่ใช่คนเชียงใหม่ จะไปไหนทีเลยต้องไปวนคูเมืองก่อนหนึ่งรอบเพื่อหาสถานที่ที่เราจะไป ทั้งหงุดหงิดใจทั้งงง แต่ก็ตามมาด้วยความฮาและเสียงหัวเราะทุกครั้ง

ท้ายที่สุดเราก็ไปถึงจุดหมายปลายทางตามที่เล็งไว้ในแผนที่ทุกครั้ง

ไม่ว่าจะด้วยความเดา ความฟลุ้ค หรืออะไรก็ตาม

แม้ว่าเราจะตกจากมอเตอร์ไซค์ลงมานอนแอ้งแม้ง ทำให้คนขี่ทั้งโมโหทั้งขำ และคาดว่าคงสงสารไปในคราวเดียวกัน

บนเส้นทางท่องเที่ยวที่เราหลงและวกวน ต้องยอมรับว่า...เราได้ค้นพบการผจญภัยหลายอย่างในแบบของเราเอง มีหลากหลายอารมณ์ตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็นหงุดหงิดโมโห แต่ก็จบลงด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะและความสุขทุกครั้ง วัดวาอารามถนนสองข้างทางรอบตัว ตึกรามบ้านช่องที่งดงามผสมผสานกันหลากหลายรูปแบบ

เราอาจจะมองผ่านเลยไปถ้าเราไม่ได้หลงและวนอยู่ตรงนั้น

อากาศหนาวที่ประทะกับใบหน้าระหว่างเราขี่รถ เป็นความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

ไปเชียงใหม่ครั้งนี้ทำให้เราได้รู้ว่า...

ในชีวิตคนเราสักครั้งหนึ่งลองทำอะไรในแบบที่เราชอบ

ไปในที่ที่เราอยากจะไปในรูปแบบของเราเอง

ให้เวลาเก็บเกี่ยวความงามความสุขสองข้างทาง

มันเป็นรางวัลชีวิตและความสุข

ที่เราต้องหาโอกาสและทำแบบนี้ให้กับตัวเองอีกหลายๆครั้งทีเดียว

ลองมาหาความสุขในแบบของตัวเองกันสักครั้ง...

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณครูคนใหม่

ได้เวลาขีดเขียน (เครดิตรูปจากแม่น เพื่อนนิเทศ)

เคยบอกใครต่อใครว่าไม่ใช่คนเรียนเก่ง หรือเรียนดี เป็นแต่เพียงคนที่เอาตัวรอดก็เท่านั้น
แต่พอบอกว่าจบจากไหน ไปต่อที่ไหน อย่างไร ทุกคนก็มาถึงบทสรุปเอาเองว่า คนนี้เป็นคนเรียนเก่ง ความที่มีคนคาดหวังว่าเราจะต้องเป็นคนเก่งหัวดี บางทีคนที่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ก็อยากจะทำหน้าปะแหล่ม ๆ พร้อมกับอยากจะบอกว่า อย่าคาดหวังกันจนเกินไป
ชีวิตเปลี่ยน เส้นทางของคนเปลี่ยนเมื่อมาถึงเวลา
บางทีเราไม่ต้องวิ่ง ไม่ต้องตามหา เมื่อมันมาแล้ว ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร มันก็มาวางกองอยู่ตรงหน้า จะตอบปฏิเสธก็ดูยากเต็มที ว่ากันว่าให้ลองเดินดูอีกสักครั้ง หลุดจากอะไรที่ไม่เคยได้ทำบ้าง
เร็ว ๆ นี้เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ได้กลับไปใกล้ชิดกับชีวิตเด็กนักเรียนอีกครั้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองยืนพูดปาว ๆ อยู่หน้าห้องเรียน ทั้ง ๆ ที่สมัยเด็กนั้น เป็นเด็กที่ขี้อาย แอบอยู่หลังห้องแทบทุกครั้ง
แม้การกลับมาคราวนี้ จะกลับมาในบทบาทที่ต่างกัน
คิดแล้วตลกดี อยู่ดี ๆ ก็มาเป็นอาจารย์ ได้อย่างไร อะไร ไม่รู้
อาจารย์ทุกคนต้องผ่านการเป็นนักเรียนมาก่อนทั้งนั้น เหมือนทุกคนต้องนั่งที่เก้าอี้มาก่อน ๆ ที่จะมายืนอยู่หน้าชั้น พอมาถึงคราวที่บทบาทเปลี่ยน เลยมานั่งคิดนอนคิด ว่าอะไรที่เราไม่ชอบตอนเป็นนักเรียนบ้าง คิดไว้ว่าจะไม่ทำแบบนั้น คิดเอาว่างานนี้จะเอาใจนักเรียนสุด ๆ
แต่การคิดอะไรอย่างเดียว โดยไม่ต้องลงมือทำ เป็นสิ่งที่ง่าย
แต่พอถึงเวลาต้องปฏิบัติจริง ๆ งานมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
มันมีอะไร นั่น นี่ โน่น
ตอนสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษา เกลียดที่สุดคือการบ้าน อาจารย์คนไหนชอบให้การบ้าน จะกากบาทหมายหัวไว้เลยว่าคราวหน้าจะไม่ลงเรียนอีก เพราะคิดเอาเองว่า อยากเอานอกเวลาเรียนมาสนุกสนานกับโลกภายนอก 
แต่พอถึงเวลาได้มาลองเป็นอาจารย์สอนนักเรียนสักครั้ง ตัวเองกลับกลายเป็นคุณครูชอบให้การบ้าน เพราะคิดว่าจะเป็นทางเดียวและทางลัดที่จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อะไรได้เร็วขึ้น เวลาแค่สามชั่วโมงในหนึ่งอาทิตย์ในห้องเรียน เหมือนจะไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเราได้เลย
หรือแม้แต่หนังสือตำราที่ใช้ในห้องเรียน ก็เหมือนกับเราพูดกันคนละภาษา บอกตามตรงแม้แต่ตัวเองที่เป็นอาจารย์ แล้วจำเป็นต้องอ่าน ยังคิดเลยว่า เอามาให้อ่านทำไม (ฟร่ะ)”
พอถึงตอนนี้ เลยต้องมานั่งคิดว่าจะสอนอย่างไรให้นักเรียนได้ไวที่สุด แต่เสียเวลาน้อยที่สุด
การเป็นอาจารย์คงสนุกตรงนี้ ตรงที่เราจะถ่ายทอดเนื้อหาเดียวกัน แต่ใช้วิธีในการอธิบายต่างกัน ทำอย่างไรให้สามชั่วโมงที่นักเรียนอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาเพื่อเข้าห้องเรียน (นอกจากการเช็คชื่อที่จำเป็นต้องมีตามระเบียบมหาวิทยาลัย)  มีความสุขที่สุด สนุกที่สุดไปกับเรา
การที่คนเราทำอะไรที่มีความสุขและสนุก
ดูเหมือนจะเป็นคนที่โชคดีที่สุด
เหมือนกับคนเราที่ไม่มีความทรมาน ที่จะต้องตื่นแบบทรมานในเช้าวันจันทร์ และยังต้องทำงานอีกห้าวันเต็ม ๆ เพื่อตั้งหน้าตั้งตารอเมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์เพียงอย่างเดียว เพราะการที่คนเราทำอะไรที่มีความสุขแล้ว ไม่ว่าวันไหนก็ไม่สำคัญ
ส่งความสุขมาให้คนอ่านในวันธรรมดา ๆ อย่างวันนี้ ^^

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิกฤตกับโอกาส

เรือกลายเป็นพาหนะสำคัญช่วงน้ำท่วม
(เครดิตรูปจาก www.nationmultimedia.com)

ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส และในทุกโอกาสย่อมมีวิกฤต

คนฉวยโอกาส ขณะที่หลายคนกำลังตกอยู่ในวิกฤต

มีหลายวิกฤต ที่ทำให้คนบางคนกลายเป็นฮีโร่

และมีคนหลายคนเอาวิกฤต มาหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง

เขียนเรื่องวิกฤตกับโอกาสอาทิตย์นี้ เพราะเห็นข่าวคราวเรื่องน้ำท่วมบ้านเรา ซึ่งมีทั้งคนตกอยู่ในวิกฤต และคนรู้จักสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส

น้ำท่วมครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ช่วงที่ข่าวออกใหม่ ๆ สื่อมวลชนทุกแขนง ได้เกาะติดสถานการณ์ และลงพื้นที่พร้อมกับเสนอข่าวทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าจะอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ติดตามในอินเตอร์เนต เฟสบุ๊ค หรือแม้แต่ในทวิตเตอร์

การรายงานสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ให้เราเห็นด้วยตา และสัมผัสได้ด้วยใจว่า คนไทยไม่เคยทิ้งกัน แม้เราจะเพิ่งฟื้นตัว (แบบค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจจะเป็นช่วงคลื่นใต้น้ำก็อาจเป็นได้) จากสงครามสีเสื้อกันมาไม่กี่เดือนนี่เอง

ความช่วยเหลือหลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย
นับเป็นเรื่องน่าดีใจ
แต่ตอนนั้นก็แอบคิดในใจว่า ความช่วยเหลือทั้งทางด้านตัวเงินและสิ่งของจะเข้าไปถึงทุกชุมชนที่เดือดร้อนทั่วถึงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาว่า มีคนบริจาคของไป แต่ของส่งไม่ถึงมือชาวบ้าน
พอตอนนั้นคิดแบบนี้ รีบเขกหัวตัวเองและพูดอยู่ในใจว่า ไอ้เราไปเอาความคิดในแง่ลบและร้ายสุดโต่งแบบนี้มาจากไหน พร้อมกับภาวนาอย่าให้มันเกิดเลย
แต่อีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เริ่มมีข่าวแบบที่เรากลัวออกมาเป็นระยะ ๆ มีหลายหมู่บ้านที่เดือดร้อนจริง ๆ แต่ความช่วยเหลือไม่เคยเข้าไปถึง หรือไปถึงแล้วแต่คนที่มีหน้าที่ส่งของเข้าไปช่วย อาจจะกำลังนอนหลับฝันหวาน ไม่รู้ไม่ชี้กับความเดือดร้อนของลูกบ้าน ฉวยวิกฤตอันนี้เป็นโอกาส เอาของที่คนบริจาคไปขาย เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหน้าตาเฉย
บอกตามตรงว่าอยากจะด่าไปถึงบุพการี
ไม่รู้มันทำกันลงคอได้อย่างไร
แอบคิดไปเองอีกว่า เดี๋ยวเราคงได้เห็นนักการเมืองบางคนไปเสนอหน้าอยู่แถว ๆ นั้นบ้างแหละ อาศัยเข้าไปใกล้ ๆ สื่อมวลชนหน่อย ถือซะว่าให้วิกฤตเป็นโอกาสไปแล้วกัน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ คิดไปไกลถึงผลการเลือกตั้งครั้งหน้ามันเลยแล้วกัน
เมื่อคิดได้แบบนี้ แอบเขกหัวตัวเองไปอีกหนึ่งที
สงสัยคงจะคิดดังเกินไป ตอนนี้เริ่มเห็นนักการเมือง ที่เห็นวิกฤตเป็นโอกาส ร้อยวันพันปีไม่เคยลงพื้นที่ ไม่เคยเสนอหน้ามาให้เห็น เริ่มทำการพีอาร์ตัวเองแบบ hard sale คือประมาณถลกขากางเกง ตัวจมอยู่ในน้ำ เดินเข้าไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับสื่อมวลชนกำลังจะรายงานสดเข้าไปห้องส่งพอดิบพอดี
เป็นการโฆษณาตัวเองแบบไม่ต้องเสียตังค์
เห็นแล้วรู้สึกสมเพชใจพิกล
หรือนี่แหละประเทศไทย ต้นตำรับปรมาจารย์สำหรับ วิกฤตและ โอกาส