วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำรั่ว

ต้นเหตุคือฉัน
เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแบบไม่เร่งรีบ (ตามสไตล์คนใช้ชีวิตแบบช้า ๆ) อาการท้องร้องบนเตียง ทำให้ต้องฝืนลุกขึ้นมาจากที่นอน เดินลงบันไดตรงเข้าสู่ห้องครัวทันที กำลังเพลิดเพลินกับการเปิดตู้เย็น ว่าจะหาอะไรที่เหลือ ๆ มาเป็นอาหารมื้อเช้าได้บ้าง
ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงน้ำหยด เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบกับน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น อาการติดตามมาคือ จ้องมองที่พื้นแล้วมองไล่ขึ้นไปจากรอยที่น้ำหยด มองขึ้นไปบนเพดานแล้วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดปนน้อยใจว่า
อยู่บ้านไหน น้ำรั่วบ้านนั้น
การทำบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ช่างหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ช่างที่มีคุณภาพอันนี้ต้องคิดหนัก เพราะเงินในกระเป๋ามีไม่พอกับงบประมาณที่ตั้งไว้
นอกจากช่างดี ๆ ที่หายากแล้ว เราต้องเผชิญกับของที่ขาดตลาด เพราะช่วงนี้ยีงคงเป็นช่วงซ่อมแซมบ้านของคนกรุงเทพ ฯ อยากได้อะไรไม่ใช่จะหากันได้ง่าย ๆ เพราะถ้าขาดตลาดแล้ว ทางร้านบอกเลยว่าผลิตไม่ทันจริง ๆ กว่าจะมาคงหลายเดือน
โจทย์ข้อที่ 1 คือ ช่างหายาก
โจทย์ข้อที่ 2 คือ ของหายาก หรือบางทีก็ขาดตลาด
โจทย์ข้อที่ 3 คือ งบประมาณจำกัด
บอกกับตัวเองและน้องสาวว่า เราลองมาทำแบบบ้าน ๆ ดูสักตั้ง เอาคนของเราเข้าไปทำเอง คนของเราหมายถึง ลูกน้องที่ร้านอาหารของเราเอง นึกออกแล้วใช่มั้ยคะว่า หน้าที่หลักของเขาคือการทำอาหาร แต่ด้วยที่มีพื้นฐานทางช่างแบบงู ๆ ปลา ๆ  ก็ตกลงกันเอาเองว่า
เราต่างต้องช่วยกันและกัน
วันนั้นด้วยอารามตกใจ เพราะน้ำหยดลงจากฝ้าไม่หยุด จนต้องโทรหาน้องสาวตามช่างสารพัดนึก ที่มีชื่อแบบนุ่มนวลว่า สาทรมาด่วนเลย เพราะกลัวว่าฝ้ามันจะอุ้มน้ำไม่ไหวจนพังถล่มลงมา
น้ำหยดลงจากฝ้า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ เพราะจากประสบการณ์ที่ว่าไอ้คนอเมริกันสร้างบ้านแบบคุณภาพดีแล้ว คืนนั้นจำได้ว่า นอนอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ที่แอลเอ หลังจากฝนตกติดกันมาสามวัน นอนอยู่ดี ๆ ได้ยินเสียงดังโครมในห้องครัว ตอนแรกตกใจเพราะนึกว่าแผ่นดินไหว แต่พอเหลือบตามองไปที่ห้องครัว แล้วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
น้ำถล่มห้องครัวกลางดึกไปเรียบร้อย
เรื่องของน้ำมันน่ากลัวแบบนี้เอง
วันนั้นช่างสาทรมา เปิด ๆ ส่อง ๆ ดูฝ้า รู้ว่าน้ำหยดแน่แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ใช้เซนส์ตัวเองทันทีว่า คงต้องมาจากห้องน้ำชั้น 2 ที่เรากำลังซ่อมแซมอยู่แน่ ๆ เพราะตำแหน่งห้องครัวกับห้องน้ำตรงกันพอดิบพอดี คุยกันสักพัก เราสองคนตัดสินใจลองเสียงทุบกระเบื้องใหม่ตรงผนังดู
เป็นโชคดีที่เราทุบกระเบื้องไม่กี่แผ่น เราก็เจอสาเหตุของน้ำรั่วนั้นทันที
ช่างสาทรลืมพันสก็อตเทปกันซึมจากท่อน้ำ
แก้ไขเสร็จสรรพ น้ำก็หยุดลงมาภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
และแล้วมันก็ผ่านไป
อาทิตย์หน้าถึงคิวทุบบ้านในห้องเก็บของ เพราะอาบน้ำจากชั้น 3 ทีไร จะมีน้ำนองออกมาบนพื้นชั้นล่างทุกที และแน่นอนครั้งนี้กับช่างสาทรคนเดิม ปรึกษากันแล้วตัดสินใจว่าทุบแน่ พร้อมกันนั้นสาทรก็หันมาบอกเบา ๆ ว่า
พี่อย่าลืมช่วยผมด้วย
ไม่รู้ใครจะช่วยใครงานนี้แหละ จะหมู่หรือจ่า ถ้ามีอะไรสนุก ๆ จะกลับมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อตกอยู่ในความมืด


วันเป็นวันว่างกลางสัปดาห์ ท้องฟ้ามืดครื้ม อากาศขมุกขมัว คล้าย ๆ ฝนกำลังจะเริ่มโปรยปรายลงมา

เวลาเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ตัดสินใจเดินทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าเมือง

สถานที่มุ่งหน้าตรงไปที่จามจุรีแสควร์ เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการ บทเรียนในความมืด หรือ Dialogue in the Dark กินพื้นที่ประมาณ 600 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เป็นช่วงวัน, เวลา, และสถานที่ ๆ ทำให้เรารู้สึกเต็มได้อีกครั้งสำหรับการกลับมาเยี่ยมชม Dialogue in the Dark ที่เมืองไทย หลังจากได้เคยไปร่วมแชร์ประสบการณ์กับนิทรรศการแบบเดียวกัน แต่เป็นของต้นฉบับที่เราบินไปสัมผัสด้วยตัวเองถึงเมืองฮัมบูรก์ ประเทศเยอรมัน

แม้ว่าจะตั้งอยู่คนละประเทศ แต่ Dialogue in the Dark มีแนวทางนำเสนอเหมือนกันทั่วโลก คือจะเป็นห้องมืดสนิท และจำลองสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตของคนตาบอด เมื่อพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ประสาทสัมผัสอย่างอื่น เช่น หู, จมูก, การสัมผัส, รส หรือแม้กระทั่งกลิ่นจะถูกนำมาใช้แทนที่

คนตาดีอย่างเรา จะเหมือนคนตาบอดชั่วคราว เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องที่มืดสนิทแห่งนี้ และจะมีไกด์นำทาง ที่ถึงแม้ว่าสายตาเขาจะมองไม่เห็น แต่เขากำลังบอกกับพวกเรากลาย ๆ ว่า ประสาทสัมผัสอย่างอื่นของเขากลับมาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม จริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ต้องพึ่งพาพวกเขาในห้องมืดที่นี่ตลอดระยะเวลา  1 ชั่วโมงของการเยียมชม

ส่วนตัวแล้วรู้สึกประทับใจกับ Dialogue in the Dark มาก ครั้งแรกเป็นการแนะนำชักชวนของพี่จูน เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทตอนที่เราไปเที่ยวที่เยอรมัน ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงที่รู้สึกชีวิตเหมือนจะหลงทางไปมา เหมือนคนไม่มีหลัก เหนื่อย ๆ ท้อ ๆ กับการเดินต่อ

แต่แทบไม่น่าเชื่อ (ตามคำแนะนำของพี่จูน) ว่าแค่เวลาเพียง 1 ชั่วโมงที่เราเข้าไปอยู่ในห้องที่เราไม่สามารถมองอะไรเห็นเลย มันมีเพียงแค่ใจที่เปิดกว้างเท่านั้น ที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น บางครั้งการที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า เราจะเดินชนสิ่งของหรือวัตถุตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่นเข้ามาทำหน้าที่นำทางเราแทน

และเชื่อว่าทุกคนที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมนิทรรศการนี้

คงจะเชื่อแล้วว่า

การที่เรามองไม่เห็น

ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องล้มลุกคลกคลานไปเสียทุกครั้ง

เพียงแค่ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วเราจะรู้ว่าปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างมันมีทางไปของมัน พระเจ้าสร้างเราให้แข็งแรง และพระองค์เองคงจะส่งบททดสอบยากบ้างง่ายบ้างมาให้เราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องรู้จักอดทนรอคอย, มีสติ, และค่อย ๆ เดินก้าวข้ามผ่านมันไป

สำหรับการเที่ยวชม Dialogue in the Dark ครั้งนี้ (ตามคำแนะนำของพี่จูนเช่นเคย) ถือเป็นการชิมลางก่อนจะพานักเรียนของตัวเองมาในอาทิตย์หน้า

และก็ยังคงรู้สึกถึงความเต็มอิ่มทางความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่ารูปแบบหรือลักษณะการแสดงนิทรรศการจะปรับเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละประเทศ แต่รวม ๆ แล้ว แนวความคิดที่นำเสนอหรือสิ่งที่อยากให้เราได้สัมผัสก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่ได้หายไปไหน

แนะนำให้ไปดูกันถ้าใครอยู่กรุงเทพ ฯ ตอนนี้

อย่างน้อยจะทำให้เรารู้ว่า

ถึงแม้ชีวิตของเราจะแตกต่างกัน

แต่เราก็สามารถเข้าใจกันและกันได้

ถ้าเราลองเปิดใจให้กว้าง