วัน…เป็นวันว่างกลางสัปดาห์ ท้องฟ้ามืดครื้ม อากาศขมุกขมัว คล้าย ๆ ฝนกำลังจะเริ่มโปรยปรายลงมา
เวลา…เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ตัดสินใจเดินทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าเมือง
สถานที่…มุ่งหน้าตรงไปที่จามจุรีแสควร์ เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการ “บทเรียนในความมืด” หรือ Dialogue in the Dark กินพื้นที่ประมาณ 600 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เป็นช่วงวัน, เวลา, และสถานที่ ๆ ทำให้เรารู้สึกเต็มได้อีกครั้งสำหรับการกลับมาเยี่ยมชม Dialogue in the Dark ที่เมืองไทย หลังจากได้เคยไปร่วมแชร์ประสบการณ์กับนิทรรศการแบบเดียวกัน แต่เป็นของต้นฉบับที่เราบินไปสัมผัสด้วยตัวเองถึงเมืองฮัมบูรก์ ประเทศเยอรมัน
แม้ว่าจะตั้งอยู่คนละประเทศ แต่ Dialogue in the Dark มีแนวทางนำเสนอเหมือนกันทั่วโลก คือจะเป็นห้องมืดสนิท และจำลองสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตของคนตาบอด เมื่อพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ประสาทสัมผัสอย่างอื่น เช่น หู, จมูก, การสัมผัส, รส หรือแม้กระทั่งกลิ่นจะถูกนำมาใช้แทนที่
คนตาดีอย่างเรา จะเหมือนคนตาบอดชั่วคราว เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องที่มืดสนิทแห่งนี้ และจะมีไกด์นำทาง ที่ถึงแม้ว่าสายตาเขาจะมองไม่เห็น แต่เขากำลังบอกกับพวกเรากลาย ๆ ว่า ประสาทสัมผัสอย่างอื่นของเขากลับมาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม จริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ต้องพึ่งพาพวกเขาในห้องมืดที่นี่ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมงของการเยียมชม
ส่วนตัวแล้วรู้สึกประทับใจกับ Dialogue in the Dark มาก ครั้งแรกเป็นการแนะนำชักชวนของพี่จูน เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทตอนที่เราไปเที่ยวที่เยอรมัน ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงที่รู้สึกชีวิตเหมือนจะหลงทางไปมา เหมือนคนไม่มีหลัก เหนื่อย ๆ ท้อ ๆ กับการเดินต่อ
แต่แทบไม่น่าเชื่อ (ตามคำแนะนำของพี่จูน) ว่าแค่เวลาเพียง 1 ชั่วโมงที่เราเข้าไปอยู่ในห้องที่เราไม่สามารถมองอะไรเห็นเลย มันมีเพียงแค่ใจที่เปิดกว้างเท่านั้น ที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น บางครั้งการที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า เราจะเดินชนสิ่งของหรือวัตถุตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่นเข้ามาทำหน้าที่นำทางเราแทน
และเชื่อว่าทุกคนที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมนิทรรศการนี้…
คงจะเชื่อแล้วว่า…
การที่เรามองไม่เห็น…
ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องล้มลุกคลกคลานไปเสียทุกครั้ง…
เพียงแค่ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วเราจะรู้ว่าปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างมันมีทางไปของมัน พระเจ้าสร้างเราให้แข็งแรง และพระองค์เองคงจะส่งบททดสอบยากบ้างง่ายบ้างมาให้เราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องรู้จักอดทนรอคอย, มีสติ, และค่อย ๆ เดินก้าวข้ามผ่านมันไป
สำหรับการเที่ยวชม Dialogue in the Dark ครั้งนี้ (ตามคำแนะนำของพี่จูนเช่นเคย) ถือเป็นการชิมลางก่อนจะพานักเรียนของตัวเองมาในอาทิตย์หน้า
และก็ยังคงรู้สึกถึงความเต็มอิ่มทางความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่ารูปแบบหรือลักษณะการแสดงนิทรรศการจะปรับเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละประเทศ แต่รวม ๆ แล้ว แนวความคิดที่นำเสนอหรือสิ่งที่อยากให้เราได้สัมผัสก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่ได้หายไปไหน
แนะนำให้ไปดูกันถ้าใครอยู่กรุงเทพ ฯ ตอนนี้…
อย่างน้อยจะทำให้เรารู้ว่า…
ถึงแม้ชีวิตของเราจะแตกต่างกัน…
แต่เราก็สามารถเข้าใจกันและกันได้…
ถ้าเราลองเปิดใจให้กว้าง…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น