วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อตกอยู่ในความมืด


วันเป็นวันว่างกลางสัปดาห์ ท้องฟ้ามืดครื้ม อากาศขมุกขมัว คล้าย ๆ ฝนกำลังจะเริ่มโปรยปรายลงมา

เวลาเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ตัดสินใจเดินทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าเมือง

สถานที่มุ่งหน้าตรงไปที่จามจุรีแสควร์ เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการ บทเรียนในความมืด หรือ Dialogue in the Dark กินพื้นที่ประมาณ 600 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เป็นช่วงวัน, เวลา, และสถานที่ ๆ ทำให้เรารู้สึกเต็มได้อีกครั้งสำหรับการกลับมาเยี่ยมชม Dialogue in the Dark ที่เมืองไทย หลังจากได้เคยไปร่วมแชร์ประสบการณ์กับนิทรรศการแบบเดียวกัน แต่เป็นของต้นฉบับที่เราบินไปสัมผัสด้วยตัวเองถึงเมืองฮัมบูรก์ ประเทศเยอรมัน

แม้ว่าจะตั้งอยู่คนละประเทศ แต่ Dialogue in the Dark มีแนวทางนำเสนอเหมือนกันทั่วโลก คือจะเป็นห้องมืดสนิท และจำลองสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตของคนตาบอด เมื่อพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ประสาทสัมผัสอย่างอื่น เช่น หู, จมูก, การสัมผัส, รส หรือแม้กระทั่งกลิ่นจะถูกนำมาใช้แทนที่

คนตาดีอย่างเรา จะเหมือนคนตาบอดชั่วคราว เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องที่มืดสนิทแห่งนี้ และจะมีไกด์นำทาง ที่ถึงแม้ว่าสายตาเขาจะมองไม่เห็น แต่เขากำลังบอกกับพวกเรากลาย ๆ ว่า ประสาทสัมผัสอย่างอื่นของเขากลับมาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม จริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ต้องพึ่งพาพวกเขาในห้องมืดที่นี่ตลอดระยะเวลา  1 ชั่วโมงของการเยียมชม

ส่วนตัวแล้วรู้สึกประทับใจกับ Dialogue in the Dark มาก ครั้งแรกเป็นการแนะนำชักชวนของพี่จูน เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทตอนที่เราไปเที่ยวที่เยอรมัน ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงที่รู้สึกชีวิตเหมือนจะหลงทางไปมา เหมือนคนไม่มีหลัก เหนื่อย ๆ ท้อ ๆ กับการเดินต่อ

แต่แทบไม่น่าเชื่อ (ตามคำแนะนำของพี่จูน) ว่าแค่เวลาเพียง 1 ชั่วโมงที่เราเข้าไปอยู่ในห้องที่เราไม่สามารถมองอะไรเห็นเลย มันมีเพียงแค่ใจที่เปิดกว้างเท่านั้น ที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น บางครั้งการที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า เราจะเดินชนสิ่งของหรือวัตถุตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่นเข้ามาทำหน้าที่นำทางเราแทน

และเชื่อว่าทุกคนที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมนิทรรศการนี้

คงจะเชื่อแล้วว่า

การที่เรามองไม่เห็น

ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องล้มลุกคลกคลานไปเสียทุกครั้ง

เพียงแค่ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วเราจะรู้ว่าปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างมันมีทางไปของมัน พระเจ้าสร้างเราให้แข็งแรง และพระองค์เองคงจะส่งบททดสอบยากบ้างง่ายบ้างมาให้เราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องรู้จักอดทนรอคอย, มีสติ, และค่อย ๆ เดินก้าวข้ามผ่านมันไป

สำหรับการเที่ยวชม Dialogue in the Dark ครั้งนี้ (ตามคำแนะนำของพี่จูนเช่นเคย) ถือเป็นการชิมลางก่อนจะพานักเรียนของตัวเองมาในอาทิตย์หน้า

และก็ยังคงรู้สึกถึงความเต็มอิ่มทางความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่ารูปแบบหรือลักษณะการแสดงนิทรรศการจะปรับเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละประเทศ แต่รวม ๆ แล้ว แนวความคิดที่นำเสนอหรือสิ่งที่อยากให้เราได้สัมผัสก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่ได้หายไปไหน

แนะนำให้ไปดูกันถ้าใครอยู่กรุงเทพ ฯ ตอนนี้

อย่างน้อยจะทำให้เรารู้ว่า

ถึงแม้ชีวิตของเราจะแตกต่างกัน

แต่เราก็สามารถเข้าใจกันและกันได้

ถ้าเราลองเปิดใจให้กว้าง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น