วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

เมื่อวันโลกแตก

เครดิตรูปจาก http://www.mthai.com/

เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนนั่งเครื่องกลับมาที่แอลเอ วันที่กลับมามี บิ๊ก เซอร์ ไพร์สอย่างที่กรมอุตุ ฯ เองก็อาจจะคาดไม่ถึง และไม่ได้มีสัญญาณเตือนให้รู้ล่วงหน้า กับสายลมเย็นที่พัดผ่านเข้ามาทักทายประเทศไทยที่อุณหภูมิ 18 องศาเซลเซียส
ย้ำ 18 องศาช่วงเดือนมีนาคม
แล้วซ้ำเข้าไปอีก เมื่อ 2 วันก่อนได้อ่านข่าว ลมหนาวไม่ได้จากเมืองไทยไปอย่างที่หลายคนคาดไว้ อุณหภูมิยังต่ำกว่า 20 องศา ซึ่งถือว่าเป็นอะไรที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น
จนมีคำถามว่าช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งใกล้เดือนเมษายนเข้าไปทุกที ที่อากาศมันควรจะร้อนกลับหนาว ในขณะช่วงเดือนธันวาคม น่าจะเป็นช่วงอากาศเย็นกลับร้อนจะเหงื่อหยดติ๋ง ๆ
นี่โลกเรากำลังจะแตกจริงหรือ?
หรือคำทำนายว่าโลกเรากำลังจะแตกปี 2012 กำลังจะเป็นจริง
ถ้าลองนับนิ้วดู ปีนี้ปี 2011 ถ้าโลกจะแตกจริงอย่างคำทำนาย นั่นหมายความว่าเราเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือน คำถามเหล่านี้นำมาซึ่งความวิตกกังวลต่าง ๆ นานา ประกอบกับญี่ปุ่นเพิ่งผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ตามมาซ้ำด้วยแผ่นดินไหวอีกครั้งที่พม่า ซึ่งสะเทือนมาถึงประเทศไทย และล่าสุดยังมีเรื่องของน้ำท่วมภาคใต้ ซึ่งทุกฝ่ายกำลังช่วยเหลืออย่างหนักในขณะนี้
ถามว่ามีเหตุผลสมควรจะกลัวไหม?
ก็น่าจะกลัวไว้บ้าง
แต่ถ้าจะกลัวแล้วไม่ทำอะไรเลยนั้น
อันนั้นยิ่งน่ากลัวกว่า
มองในทางตรงกันข้าม เราน่าจะคิดข้ามช็อตไปเลยมากกว่า ว่าเราจะทำอะไรจากนี้ไปถ้าเกิดโลกมันจะแตกจริง ๆ โลกมันจะแตก ฟ้ามันจะร้อง ฝนมันจะตก ถามว่าเราทำอะไรได้ไหม? สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะกำหนด แต่เรากำหนดตัวของเราเองได้มิใช่หรือ?
ใครที่มัวแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน จนลืมที่จะเอ็นจอยในการใช้ชีวิต เอ้า! ถือโอกาสนี้สักทีดีไหม เดินออกไปท่องโลกกว้าง ออกไปดูว่าคนอื่นเขาอยู่กันอย่างไร ธรรมชาติมันสวยงามแค่ไหน
ใครที่มัวแต่ฝันอยู่นั่นแล้วว่าอยากทำอย่างนี้อย่างโน้น เอ้า! ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทำให้ฝันไม่ใช่ให้มันมีพื้นที่ของมันแค่ในสมอง เอาความฝันออกมาให้มันจับต้องได้กันสักทีดีไหม?
ใครที่มัวแต่คิดว่า เออ! เดี๋ยวเมื่อไหร่ก็ได้ ๆ เอ้า! เอาสักทีดีไหม เมื่อไหร่ก็ได้นี่เมื่อไหร่ล่ะ ทำเลยดีไหม?
ความกลัวอย่างเดียวไม่มีประโยชน์ ต้องรู้จักใช้ความกลัวกับสิ่งที่เรามีอยู่ให้ชีวิตเรามันเดินต่อไปได้อย่างสวยงาม
อยากทำอะไรทำ อยากเป็นอะไรเป็น
แล้วเราจะรู้ว่าชีวิตเราที่เกิดมามีคุณค่า


วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น 2

เครดิตรูปจาก http://www.cheapestav.com/
(เอามาแชร์ต่อจากนก เพื่อนนิเทศ จุฬา ฯ ในฐานะของคนสื่อมองสื่อว่า เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากแผ่นดินไหวและสึนามิเมื่ออาทิตย์ก่อน)
ผ่านมาแล้ว 4 วัน ฉันกับพี่โตก็ยังคงติดตามข่าวจากสื่อโทรทัศน์ญี่ปุ่นไม่ได้หยุด โทรทัศน์โดยเฉพาะ NHK ที่ญี่ปุ่นทำงานกันเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่าได้นำเสนอเรื่องที่คนญี่ปุ่นทุกคนควรจะทราบ รวมไปถึงคนต่างชาติที่อยู่ในญี่ปุ่นที่จะมีโอกาสได้ฟังภาคภาษาอังกฤษ (เป็นบางจังหวะ) หากกดปุ่มเลือกโหมดสองภาษาที่รีโมทคอนโทรลเลอร์
ตอนนี้ฉันอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับสื่อของญี่ปุ่น โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์กับการนำเสนอข่าวที่ฉันรู้สึกว่ามีอะไรน่าสนใจมากๆ สำหรับคนไทยอย่างเรา
เชื่อว่าคนไทยทั่วโลกคงติดตามข่าวการเกิดแผ่นดินไหวและภัยพิบัติสึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อบ่ายวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ที่ผ่านมา นอกจากจะได้เห็นวิธีการจัดการรับมือกับปัญหาในแบบฉบับของคนญี่ปุ่นแล้ว ประเด็นหนึ่งที่ฉันอยากนำมาแชร์กับเพื่อนคนไทยก็คือ เรื่องการนำเสนอข่าวของสื่อโทรทัศน์ญี่ปุ่น ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมอย่างเคร่งครัด
ต้องออกตัวก่อนว่า ฉันเป็นคนไทยที่มาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นได้เกือบปีแล้ว ดังนั้นก่อนหน้านี้สื่อที่ฉันคุ้นเคยดีก็คือสื่อไทย อาจมีสื่อต่างชาติบ้างก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่พอฉันมาถึงญี่ปุ่น สถานการณ์บังคับให้ฉันต้องติดตามข่าวสารและรายการของญี่ปุ่น
และเนื่องจากการติดนิสัยเสียดูโทรทัศน์ไปก็ไม่สนใจแค่เนื้อหา แต่ชอบดูว่ารายการลักษณะแบบนี้คนผลิตผลิตด้วยวิธีอย่างไร อันเป็นสันดานของนักเรียนสื่อสารมวลชนอย่างฉันและเพื่อนๆ ที่เรียนนิเทศศาสตร์มาด้วยกัน ก็ยิ่งทำให้เราสังเกตเห็นอะไรหลาย ๆ อย่างที่ฉันอยากให้สื่อมวลชนของไทยปัจจุบันได้กลับมาทบทวนตัวเอง
อย่างแรกที่ฉันพบความแตกต่างจากการนำเสนอข่าวที่เมืองไทย ก็คือข่าวอาชญากรรม ภาพข่าวโทรทัศน์ของญี่ปุ่นทุกช่องจะไม่เคยถ่ายให้เห็นภาพคนตาย คนบาดเจ็บ อาวุธ หรือภาพที่น่าหวาดเสียวใด ๆ
หากเมื่อไรมีเหตุอาชญากรรมเกิดขึ้น และจับตัวคนร้ายได้โดยมีหลักฐานมัดตัว ข่าวจะใช้การอธิบายว่า นายคนนี้ อายุเท่านี้ ก่อเหตุอะไรขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ ซึ่งภาพข่าวอาจจะแสดงให้เห็นใบหน้าคนร้ายที่ถูกจับกุมตัวเล็กน้อย แล้วก็ตัดไปเป็นสถานที่เกิดเหตุ แต่จะจำกัดเฉพาะจุดที่เกิดเหตุจริงๆ เท่านั้น
สภาพแวดล้อมต่างๆ ถ้าอยู่ในเฟรมภาพเดียวกันจะถูกทำให้เบลอๆๆๆ ไม่ว่าจะเป็นป้ายชื่อหน้าบ้าน รูปทรงของบ้าน แม้กระทั่งทะเบียนรถที่จอดอยู่ใกล้เคียงก็จะเบลอไปทั้งเฟรม โดยเฉพาะถ้าคนที่ถูกจับเป็นเพียงผู้ต้องสงสัย หรือพยานที่เห็นเหตุการณ์ แม้แต่คนที่มายืนมุงรอบข้างก็จะถูกทำให้เบลอที่ใบหน้า และเปลี่ยนเสียงให้เพี้ยนไป เพื่อไม่ให้ผู้ชมเห็นหน้าและได้ยินเสียงที่แท้จริงของคนนั้น
เป็นการรักษาสิทธิส่วนบุคคลของคนดังกล่าวรวมทั้งบุคคลอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และรักษาจริยธรรมในการนำเสนอข่าวที่จะไม่แสดงภาพล่อแหลมหรือน่าหวาดเสียว เป็นชนวนให้เกิดการเลียนแบบหรือทำตามอย่าง
ตัวอย่างล่าสุดจากเหตุการณ์สึนามิเมื่อกลางเดือนมีนาคมนี่เอง ในช่วงสองวันแรก ฟรีทีวีทุกช่อง รวมทั้งช่องโทรทัศน์แห่งชาติอย่าง NHK พร้อมใจกันนำเสนอภาพข่าวเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
ภาพที่ผู้ชมได้เห็นซ้ำไปซ้ำมาสลับกับการรายงานข่าวในสถานี จะเป็นภาพเหตุการณ์ขณะที่เกิดแผ่นดินไหว คลื่นซัดน้ำเข้าฝั่งทำลายบ้านเรือนพังทลาย ซากกองไม้ที่ปรักหักพังต่างๆ และคนที่หนีพ้นมายืนอยู่บนที่สูง
หลังจากนั้นก็เป็นสภาพในศูนย์อพยพและช่วยเหลือผู้ประสบภัย การแบ่งปันที่นอน การแบ่งปันอาหาร น้ำดื่ม และสัมภาษณ์ผู้ประสบภัยที่สูญเสียบ้านและทรัพย์สิน โดยตัดมาเพียงประโยคสั้นๆ ที่แม้ผู้พูดจะเศร้าน้ำตานองหน้า แต่ก็กล่าวอย่างสุภาพ ไม่แสดงอารมณ์ฟูมฟายโวยวาย
และที่สำคัญที่สุด ....
ไม่มีภาพศพหรือคนตายให้เห็นแม้แต่คนเดียว รวมทั้งไม่มีภาพการขุดคุ้ยหาศพของเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ไม่มีภาพใด ๆ ที่น่าอุจาดตาปรากฏทางสื่อเลยแม้แต่น้อย มีเพียงแต่คำบรรยายจากผู้ประกาศข่าวว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยกำลังค้นหาผู้รอดชีวิตอย่างเร่งด่วนที่นั่นที่นี่ มียอดผู้เสียชีวิตจำนวนเท่าใดบ้าง เพียงแค่นั้นก็สื่อสารได้ใจความครบถ้วนที่จำเป็นแล้ว
เหตุการณ์นี้อดทำให้ฉันหวนนึกไปถึงช่วงที่เกิดเหตุสึนามิในประเทศไทย ตลอดสัปดาห์อันเลวร้ายนั้น ฉันต้องดูภาพศพผู้เสียชีวิตที่นอนเกลื่อนชายหาด ศพที่ซ้อนทับๆ กันเป็นภูเขาเป็นซากเน่า แบบไม่ให้เกียรติกับผู้ตายเลยแม้แต่น้อย
แม้จะมีการเบลอบ้างแต่ก็ยังเห็นภาพอุจาดตาน่าสังเวชใจ พร้อมกับเสียงคนร้องไห้คร่ำครวญ ฉันถามคนญี่ปุ่นใกล้ตัวว่า ทำไมในข่าวของญี่ปุ่นจึงไม่มีภาพแบบนี้...คำถามที่ฉันได้รับแทนคำตอบก็คือ
ก็ถ้านำเสนอภาพคนตายน่ากลัวหรือมามัวคร่ำครวญแบบนั้น แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้างล่ะ?”
อือม์...นั่นสินะ...
หดหู่ น่ากลัว เห็นคนตายเหมือนซากศพ เกิดภาพติดตา นำไปฝันร้าย ไม่ให้เกียรติผู้ตาย ทำลายจิตใจผู้สูญเสียซ้ำลงไปอีก พอเห็นภาพคนตายบ่อย ๆ ก็ชิน ทำให้จิตใจหยาบกระด้าง ไม่เห็นมีอะไรสร้างสรรค์สักอย่าง นอกจากอารมณ์ปลงสังเวช
ในวันที่สองและสามของเหตุการณ์ มีข่าวใหญ่เป็นผลต่อเนื่องจากเหตุสึนามิ นั่นคือ ความร้อนและการระเบิดของอาคารเตาปฏิกรณ์ปรมาณูในโรงไฟฟ้าพลังปรมาณูที่ฟูคุชิมะ โทรทัศน์เกือบทุกช่องนำเสนอรายการเพื่ออธิบายการทำงานของโรงไฟฟ้าเพื่อให้ประชาชนเข้าใจได้ง่ายที่สุด
โดยการทำเป็นภาพวาดประกอบ เชิญผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์สลับกับการแถลงข่าวจากผู้แทนรัฐบาล แล้วก็วิเคราะห์ข่าวที่แถลงนั้นอีกที เพื่อให้คนที่เกิดคำถาม ได้ถามและตอบข้อสงสัยอย่างกระจ่าง มีการประกาศแผนที่ประชาชนต้องพึงปฏิบัติในสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ รวมทั้งการแถลงแนวทางแก้ไขปัญหาในทุกๆ ด้านที่เกี่ยวข้อง
ทั้งเรื่องมาตรการประหยัดไฟฟ้าและพลังงานต่างๆ สลับกับการเสนอภาพความร่วมมือด้วยดีของประชาชนที่พากันเข้าคิวอย่างเป็นระเบียบเพื่อซื้ออาหาร ตุนน้ำดื่ม หรือรอโทรศัพท์ ฯลฯ 
จนล่วงเข้าวันที่สี่ที่หลายคนเริ่มปรับสภาพใจให้ชิน ยอมรับกับเหตุการณ์ได้บ้างแล้วนั่นแหละ ภาพข่าวจึงค่อยเปลี่ยนโทนมาเสนอเป็นภาพจากคลิปวิดีโอที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์มือถือของผู้ประสบภัยบ้าง ได้ยินเสียงผู้คนตื่นเต้นตกใจกับคลื่นที่พัดผ่านหมู่บ้าน เสียงสะอื้นไห้ของคน ทั้งที่พลัดพรากจากญาติมิตรและที่ดีใจที่ได้เจอกัน
ในความเห็นของฉัน สื่อมวลชนญี่ปุ่นนั้นเคร่งครัดในจริยธรรมการนำเสนอข่าวและเข้าใจหน้าที่ของสื่อมวลชนอย่างดีน่านับถือมาก การเลือกนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยผ่านการไตร่ตรอง ไม่ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง แต่เลือกเน้นหนักในข้อเท็จจริง
ทำให้ประชาชนที่ตระหนกตกใจกับเหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถเรียกสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว และหันมามองการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และแก้ปัญหาระยะยาวเพื่อดำเนินชีวิตต่อไป ไม่มัวเสียเวลานั่งฟูมฟายร้องไห้กับความสูญเสียที่เรียกคืนไม่ได้ แต่ลุกขึ้นสู้กับปัญหาด้วยปัญญา ทั้งยังปลูกฝังแนวคิดให้ความร่วมมือกับส่วนรวมมากที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะทำได้ ไม่ทำตัวเองให้เป็นปัญหากับคนอื่น และเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกันแม้ในยามวิกฤตสุดยอด เป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ถึงนาทีนี้แล้วคงสะท้อนให้เห็นชัดเจนล่ะว่า สื่อมวลชนที่มีคุณภาพสามารถชี้นำสังคมให้ดำเนินไปในทางที่ดีได้จริงๆ

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องเล่าจากญี่ปุ่น 1

Caption: เครดิตรูปจาก Asahi Shimbun

อาทิตย์นี้เรามีนักเขียนรับเชิญ นก นภารวี เพื่อนนิเทศ จุฬา ฯ มาเขียนเล่าให้ฟังแบบเห็นภาพและความรู้สึกตามตัวอักษรที่เธอเขียนมา ตอนที่ญี่ปุ่น (ประเทศที่ไม่คอยยอมแพ้) กำลังถูกถาโถมจากทั้งแผ่นดินไหว สึนามิและการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี
ณ วินาทีนี้เชื่อว่าหัวใจทุกดวงกำลังภาวนาให้คนญี่ปุ่นเข้มแข็ง และก้าวผ่านเวลายากลำบากเหล่านี้ไปให้ได้
………………………..
ตอนบ่ายสามโมงของวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ดูรายการหนึ่งอยู่ จำได้ว่าเป็นรายการสนุกกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์รายการโปรดของเราสองคน ที่วันนั้นขึ้นต้นด้วยคำถามว่า
เชื่อมั้ยว่า เราสามารถใช้น้ำตัดแอ๊ปเปิ้ลได้
แล้วก็ดำเนินการทดลองให้เห็นว่าน้ำที่ขับออกมาจากแรงดันสูงๆ เช่น ท่อของรถดับเพลิง นั้นอาจคมดั่งมีด จนสามารถตัดผลแอ๊ปเปิ้ลให้ขาดออกจากกันเป็นท่อนๆ ได้ ดูจนเข้าใจแล้วแต่เราก็ไม่นึกเลยว่า ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา พลังจากน้ำนี่แหละที่จะตัด...และทำลายสิ่งต่างๆ ไปมากยิ่งกว่าแอ๊ปเปิ้ลลูกนั้น...
รายการที่ว่าจบลงพอดี ภาพในจอโทรทัศน์ก็ตัดฉับไปที่ข่าวว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ชานกรุงโตเกียวเมื่อตอนบ่ายสองกว่าๆ เป็นภาพตึกแห่งหนึ่งแถวโอไดบะกำลังไฟไหม้ที่ชั้นบนสุด ควันดำโขมง
แผ่นดินไหวนี้มีจุดศูนย์กลางอยู่แถวๆ จังหวัดฟูคุชิมะ ของเกาะฮอนชู ตอนเหนือขึ้นไปจากโตเกียวอีกหน่อย ทำให้พื้นที่แถบนั้น ตลอดทั้งแนวเกิดแรงสั่นสะเทือนมาก ขนาดที่สิ่งของต่างๆ ในห้องส่งโทรทัศน์และสำนักงานตกลงมากระจายเต็มพื้น
เสียงเตือนให้ระวังภัยจากสึนามิดังขึ้น ภาพโทรทัศน์ก็ตัดฉับไปที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดอิวาเตะ ที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู คลื่นยักษ์สูงกว่าสิบเมตรกำลังเคลื่อนตัวมา เคลื่อนมาช้าๆ อย่างมั่นคง เหมือนมัจจุราชที่กำลังกางเงื้อมมือยักษ์รอตะครุบเหยื่อ แล้วมันก็กระทบชายฝั่ง ผ่านท่าเรือ กวาดรถยนต์นับร้อยๆ คันที่จอดอยู่บนลานจอด เลยเข้ามาในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กันหนาแน่น พัดผ่านบ้าน และตึกขนาดย่อม พร้อมกับขุดรากถอนโคนมาด้วย เลยลึกเข้าไป จนในที่สุดก็อ่อนกำลังลงตรงหน้าเชิงเขา ดั่งมัจจุราชที่กินจนอิ่ม
เท่านั้นสำหรับจังหวัดอิวาเตะ แต่ไม่ใช่สำหรับจังหวัดมิยากิ ที่มีเมืองชายทะเลแสนสวยเลื่องชื่ออย่างเซ็นได, จังหวัดฟูคุชิมะ ที่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึงสองแห่ง หรือจังหวัดอิบารากิแหล่งผลิตรถยนต์และส่วนประกอบรถยนต์ที่มีคนไทยไปทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก
คลื่นยักษ์ค่อยๆ คืบคลานกวาดต้อนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหมู่บ้านริมฝั่งทะเลอย่างใจเย็น เรือ รถ บ้าน แม้แต่เครื่องบินที่จอดในสนามบินริมทะเลที่เซ็นได ถูกน้ำทะเลโคลนสีดำมะเมื่อมพัดพาไปกองระเกะระกะ ซ้อนทับกันไปมา มิใยต้องพูดถึงคน
ฉันกะพี่โต-สามีนั่งดูเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึงเหมือนเรากำลังดูหนัง แต่มันไม่ใช่หนัง มันคือเรื่องจริง เราเห็นสะพานแห่งหนึ่งกำลังขาดสะบั้น รถยนต์คันหนึ่ง และรถบรรทุกก๊าซกำลังขับอยู่บนสะพานนั้น คนขับกำลังจอดเปิดไฟกระพริบ คงเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างจัง แล้วก็หันหัวรถกลับไปอีกทางที่มา ฉันนั่งลุ้นรถก๊าซตัวโก่ง จะกลับรถทันมั้ยนะ สะพานข้างหน้าหักแล้ว น้ำกำลังเอ่อล้นสะพานนั้น ไปต่อก็ไม่ได้ แต่จะกลับรถทันมั้ย ...และแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกที่เห็นคนขับรถพารถคันยักษ์กลับไปอีกทางได้ในที่สุด
ฉันกับพี่โตสบตากันด้วยความอึ้ง...นี่มันอะไรกันเนี่ย ระหว่างนั้นมือฉันก็พิมพ์ข้อความขึ้นไว้ที่ status ของตัวเองบน Facebook ไม่หยุด ที่นี่ญี่ปุ่น มันกำลังเกิดเหตุใหญ่ ใหญ่แน่ๆ เรื่องจริงหรือนี่ ฉันอยากให้เพื่อนๆ ได้รับรู้เหมือนที่ฉันกำลังเห็น
เพื่อนๆ หลายคนตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฟังดูน่ากลัวจังเลย... และแล้วข่าวที่ฉันเห็นก็ไปถึงเมืองไทยอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่นาที เพื่อนๆ เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ภาพในโทรทัศน์ตัดกลับไปที่ห้องส่งอีกครั้ง ผู้ประกาศข่าวกำลังวิ่งหาที่หลบที่ปลอดภัยไปพร้อมๆ กับรายงานเหตุการณ์ไปด้วยไม่หยุด ตึกทั้งตึกกำลังสั่น ไฟสปอตไลท์ต่างๆ โยกเยกเสียงดังกึงๆ ข้าวของในสถานีและออฟฟิศกระจัดกระจาย นี่คืออาฟเตอร์ช็อคที่รุนแรงพอๆ กันกับครั้งแรก 8.9 ริคเตอร์คือที่ประเมินไว้ในเบื้องต้น (ซึ่งต่อมาได้ปรับระดับเป็น 9)
หลังจากที่อาฟเตอร์ช็อคครั้งแล้วครั้งเล่าสงบลง ผู้ประกาศข่าวที่ไม่สามารถหลบออกจากหน้ากล้องก็ต้องพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติและใส่หมวกนิรภัยพร้อมกับประกาศข่าวที่เกิดขึ้น และเตือนผู้ชมทางบ้านให้พร้อมรับมือกับเหตุต่างๆ
เพื่อนคนไทยที่โตเกียวส่งข้อความมาทาง wall บน Facebook ระบายความกลัวที่ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งแล้วครั้งเล่าในวันนั้น ตั้งแต่บ่ายยันดึกเกิดอาฟเตอร์ช็อคไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง รถไฟในโตเกียวหยุดวิ่ง ไฟฟ้าดับเพราะต้องหยุดการทำงานของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ที่ชายฝั่งฟูคุชิมะเนื่องจากแผ่นดินไหวและสึนามิ
คนทำงานที่เลิกงานก่อนกำหนดแต่ไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะไม่มีรถ พากันยืนรอรถแท็กซี่ที่แทบไม่มีสักคัน เนื่องจากการจราจรหยุดชะงักงัน หลายๆ คนตัดสินใจเดินกลับบ้านไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ขณะที่หลายๆ คนรอให้ระบบขนส่งมวลชนเปิดบริการจนแน่นขนัดสถานี ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นว่าต้องหาที่นอนพักค้างคืนชั่วคราวในคืนนั้นเพราะกลับที่พักไม่ได้ โรงแรม โรงเรียน หอประชุม หรือแม้แต่คอนเสิร์ตฮอลล์ต่างๆ ต่างก็เปิดประตูอ้าแขนต้อนรับบรรดานกที่ไร้รังนอนเหล่านั้นด้วยความเอื้อเฟื้อ
ขณะที่ผู้คนที่กำลังเดือดร้อนในพื้นที่ที่ถูกทำลายด้วยสึนามิ ต้องหลบหนีกระเจิงไปรวมตัวกันในโรงเรียนหรือโรงกีฬาของชุมชนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงในสภาพไร้บ้านและไร้สิ้นทุกสิ่ง นี่ยังไม่รวมคนที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัศมี 3, 5, 10 และ 20 กิโลเมตรตามลำดับในเวลาต่อมาเพื่อความปลอดภัยต่อการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสี
ถึงกลางดึกวันนั้นในโทรทัศน์รายงานยอดผู้เสียชีวิตเป็นหลักร้อย แต่ยอดผู้สูญหายในแต่ละจังหวัดที่ถูกถล่มด้วยสึนามิอาจถึงหลักหมื่น เพียงแค่น้ำพัดเอารถไฟขบวนหนึ่งหายไปต่อหน้าต่อตาก็บอกไม่ได้แล้วว่าในนั้นมีคนอยู่กี่คน 
ผืนดินที่ถูกน้ำท่วมทรุดตัวลงต่ำกว่าเดิมเป็นบริเวณกว้าง ท้องฟ้าและผืนดินที่ถูกกลืนกันสนิทด้วยความมืดมิด มีแต่เปลวเพลิงลุกไหม้เป็นสีส้มลามเลียเป็นวง เปลวเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรเมื่อเสาไฟฟ้าและบ้านถูกทำลายพากันไหม้ซากไม้ที่ถล่มทลายดั่งไฟไหม้ป่า
ภาพติดตาจนฉันไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ง่ายๆ ในคืนนั้น ความคิดสับสนประดังประเดบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร คนญี่ปุ่นเป็นกลุ่มชนที่เคารพและยอมรับการอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา แต่ในวันนี้ธรรมชาติได้กวาดต้อนสิ่งต่างๆ กลับลงทะเลไป ทิ้งไว้แต่ความเศร้าและความสูญเสีย
แล้วจากนี้ไปพวกเขาจะมีชีวิตอยู่กันต่อได้อย่างไร?

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องของจังหวะ

เครดิตรูปจาก http://www.oknation.net/

การจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เป็นความเศร้าอย่างหนึ่ง แม้รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของแท้แน่นอนที่เราจะต้องพบเจอ
แต่เมื่อเกิดกับคนที่เรารัก บางครั้งมันก็ยากที่จะทำใจ ที่เขียนแบบนี้ไม่ใช่หมายความว่า เราจะทำใจไม่ได้ เราคงต้องทำใจให้ได้ และชีวิตจำเป็นต้องเดินต่อ แต่เรื่องแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลากันสักหน่อย ใช้บ้างใช้น้อยแล้วแต่สติของแต่ละคนจะพาไป
ไม่รู้ทำไมช่วงนี้ได้ยินแต่ข่าวการจากไปในแวดวงของเพื่อน เพื่อนของเพื่อน คนรู้จัก หรือญาติ ๆ ของเพื่อน ไม่ข่าวงานศพก็ข่าวเจ็บป่วย หรือมันเป็นเรื่องของช่วงอายุของเรา
เคยคิดไหมว่า ช่วงระยะที่เราเติบโตมา มักจะได้ยินข่าวอะไรซ้ำ ๆ เป็นระยะ ๆ อย่างตอนช่วงอายุ 20 ก็จะเป็นข่าวของเพื่อน ๆ เอ็นทรานซ์ติดที่โน่นที่นี่ ใครไปเรียนที่ไหน อย่างไร ใครตัดสินใจไปเรียนเมืองนอก ใครตัดใจกัดฟันทำงานเพื่อเก็บเงินและหาประสบการณ์ไปก่อน
นับเป็นเรื่องของความน่ายินดี
พออายุเข้าสู่เลขสาม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของรอยยิ้มอีกครั้ง เมื่อได้เราข่าวคราวจากเพื่อนคนโน้นคนนี้ ตัดสินใจลงจากคานทอง ได้ฤกษ์สละโสด มีครอบครัวเป็นไปตามขั้นตอนของชีวิต แล้วอีกไม่กี่ปีต่อมา เราก็จะได้ยินเรื่องการมีลูก เป็นช่วงเวลาที่เอาลูก ๆ มาอวดกัน ห้วข้อในการคุยเปลี่ยนไปตามแต่ละก้าวของชีวิตที่เดินมา
นึกถึงแล้วยังนั่งอมยิ้มอยู่เลย ตอนที่มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งส่งข่าวมาว่า ท้องลูกคนที่สามแล้วนะเพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ไม่เคยคิดว่าเธอจะดูแลใครได้ เพราะเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง แต่เวลาผ่านไป สัญชาตญาณความเป็นแม่สอนอะไรหลายอย่างให้กับเพื่อนคนนี้ ทุกวันนี้มีลิงน้อย 3 ตัววิ่งวุ่นอยู่ในบ้าน และเธอก็มีความสุขเหลือเกินกับชีวิตตอนนี้
ยังเคยคุยกันอยู่เลยว่า
ถ้าหมุนเวลากลับไปได้ เธอจะเลือกชีวิตแบบไหน
แต่งงานหรือไม่แต่ง มีลูกหรือไม่มี
ที่ถามเพราะบางครั้งเห็นแล้วเหนื่อยแทน ที่ภารกิจตลอด 24 ชั่วโมง เธอโดนครอบครัวแย่งเวลาไปหมด
เธอตอบแบบไม่ต้องลังเล
ตอนนี้ไม่ต้องมี สามีก็ได้ แต่ไม่มี ลูกไม่ได้
นับว่าช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป ก็ยังเป็นเรื่องของความสุขในรูปแบบใหม่ ถัดจากพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติและ เพื่อน ๆ
มาถึงวันนี้ เมื่ออายุเริ่มเข้า 40 เริ่มเป็นเรื่องของการเจ็บป่วยและความตาย มันคงเป็นช่วงของวัยที่เราทุกคนหลีกหนีไม่พ้น ขออย่างเดียวให้เรามี สติตั้งไว้ให้มั่น แล้วเราก็จะก้าวข้ามผ่านมันไป
สิ่งดี ๆ ที่ผ่านเข้ามา มาแล้วก็ต้องไป
สิ่งไม่ดีก็เช่นกัน เมื่อมันมาแล้วก็ต้องไป
วนเวียนหมุนวนอยู่อย่างนี้!!!


วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

เที่ยวกับป๊า


ป๊าตัวจริง เสียงจริง
เพิ่งค้นพบเคล็ดลับว่า การเอาใจคนแก่นั้นง่ายนิดเดียว เป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก แต่ต้องอาศัยความรักเป็นส่วนประกอบ ที่ว่าง่ายก็คือการนั่งตั้งหน้าตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาหรือเธอพูด ทำเป็นเหมือนว่าไม่เคยฟังเรื่องนี้มาก่อน แม้จริง ๆ แล้วเราจะฟังเรื่องนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ หรือบางทีรู้ก่อนที่จะเล่าจบด้วยซ้ำว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร
อาทิตย์ก่อนพาป๊าขึ้นเครื่องบินลัดฟ้าไปเที่ยวภูเก็ต
เป็นอันว่ารู้กันตั้งแต่รู้จักผู้ชายคนนี้มา 40 ปี การไปเที่ยวกับป๊า คือการขับรถแวะไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อดูที่ดิน ไม่ใช่ว่ามีเงินเป็นร้อยล้านที่จะซื้อที่ดินหรอก แต่ป๊าเขาเรียกว่า เป็นการศึกษา เป็นความสนใจส่วนตัว
จำความได้ตั้งแต่เด็ก ป๊าจะนอนจมกองหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ อ่านข่าว โดยเฉพาะข้อความโฆษณาขายที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ไปเรื่อย ๆ เจอที่อันไหนน่าสนใจก็จะขับรถไปดูไม่ว่าจะไกลขนาดไหน และรับรองได้เลยว่า ป๊าดูที่ดินเป็นร้อยเป็นพัน ๆ ที่ แต่ตัวเลขที่ซื้อไม่ถึงหลักสิบ แฮ่ะ ๆ
เพราะฉะนั้นการันตีได้เลยว่า การไปทริปนี้ เท้ายังไม่ได้สัมผัสหาดทรายเสียด้วยซ้ำ บรรยากาศแบบชายหาดที่น่าสนุก ต้องพูดว่า ฟอร์ เก้ด อะ เบ้าท์ อิท! ไปเลย
แต่จริง ๆ แล้วไปกับป๊าไม่ใช่ไม่สนุกนะ แต่สนุกไปอีกแบบ แบบตรงที่ได้ฟังเรื่องเก่า ๆ ซ้ำ ๆ ยิ่งซ้ำยิ่งดี ตอนเป็นวัยรุ่นเคยบอกกับป๊ากับแม่ว่า ไม่ฟังแล้วนะเรื่องนี้ เพราะฟังเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว พอพูดออกไปก็รู้สึกเสียใจ
ที่เสียใจเพราะว่า ตอนเด็ก ๆ เราเองก็คงจะถามอะไรแม่กับป๊าซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนกัน ทำไมเขายังไม่เบื่อที่จะตอบ พอเราโตขึ้น เราเองก็ต้องทนฟังอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนกัน ตอนแรกต้องใช้คำว่าทน แต่ตอนหลังกลายเป็นความเคยชิน พอเริ่มชินแล้วก็รู้สึกว่า ถ้าครั้งไหนไปไหนด้วยกันแล้วไม่ได้ฟังเรื่องเดิม ๆ จะรู้สึกแปลก ๆ
ไปภูเก็ตคราวนี้ เรานั่งเครื่องบินไปกันแล้วไปเช่ารถต่อที่โน่น รู้สึกไปเองรึเปล่าไม่รู้ว่า ถึงแม้ป๊าจะยังเดินไปไหนมาไหนแบบคล่องแคล่วเหมือนเดิม แต่เขาเหมือนจะเหนื่อยง่ายขึ้น ขอนั่งพักบ่อยขึ้น
อืม! จะไม่แก่ได้ไง ก็ปีนี้ป๊าอายุปาเข้าไปตั้ง 74 แล้วนี่
ชอบบอกเขาเสมอว่า ขอให้อยู่ไปก่อนอีกสัก 20 ปี ถ้าถึงเวลานั้นถ้าเราจะต้องจากกันจริง ๆ ก็จะพยายามยอมรับ และจะเดินต่อไปกับชีวิตที่เหลืออยู่ให้ได้
แต่สิ่งที่เราขอทุกครั้ง ป๊ามักจะยิ้มและตอบกลับมาเสมอว่า
ป๊าจะพยายามอยู่ให้นานที่สุด เพราะถ้าป๊าอยู่ ลูกก็จะสบาย ป๊าจะอยู่ ป๊าสัญญา
ฟังแล้วเหมือนก้อนอะไรไม่รู้มาจุกอยู่ที่อก ซาบซึ้งในความรักที่เขามีให้เรามาตลอด ชีวิตหนึ่งชีวิตจะมีความหมาย เมื่อชีวิตเราต้องอยู่เพื่อใครสักคนหนึ่งที่เรารัก
มาเข้าใจความรักก็เมื่อตอนที่ตัวเองอายุขึ้นเลขสี่นี่เอง