Caption: เครดิตรูปจาก Asahi Shimbun |
อาทิตย์นี้เรามีนักเขียนรับเชิญ นก นภารวี เพื่อนนิเทศ จุฬา ฯ มาเขียนเล่าให้ฟังแบบเห็นภาพและความรู้สึกตามตัวอักษรที่เธอเขียนมา ตอนที่ญี่ปุ่น (ประเทศที่ไม่คอยยอมแพ้) กำลังถูกถาโถมจากทั้งแผ่นดินไหว สึนามิและการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสี
ณ วินาทีนี้เชื่อว่าหัวใจทุกดวงกำลังภาวนาให้คนญี่ปุ่นเข้มแข็ง และก้าวผ่านเวลายากลำบากเหล่านี้ไปให้ได้
………………………..
ตอนบ่ายสามโมงของวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ดูรายการหนึ่งอยู่ จำได้ว่าเป็นรายการสนุกกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์รายการโปรดของเราสองคน ที่วันนั้นขึ้นต้นด้วยคำถามว่า
“เชื่อมั้ยว่า เราสามารถใช้น้ำตัดแอ๊ปเปิ้ลได้”
แล้วก็ดำเนินการทดลองให้เห็นว่าน้ำที่ขับออกมาจากแรงดันสูงๆ เช่น ท่อของรถดับเพลิง นั้นอาจคมดั่งมีด จนสามารถตัดผลแอ๊ปเปิ้ลให้ขาดออกจากกันเป็นท่อนๆ ได้ ดูจนเข้าใจแล้วแต่เราก็ไม่นึกเลยว่า ในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา พลังจากน้ำนี่แหละที่จะตัด...และทำลายสิ่งต่างๆ ไปมากยิ่งกว่าแอ๊ปเปิ้ลลูกนั้น...
รายการที่ว่าจบลงพอดี ภาพในจอโทรทัศน์ก็ตัดฉับไปที่ข่าวว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่ชานกรุงโตเกียวเมื่อตอนบ่ายสองกว่าๆ เป็นภาพตึกแห่งหนึ่งแถวโอไดบะกำลังไฟไหม้ที่ชั้นบนสุด ควันดำโขมง
แผ่นดินไหวนี้มีจุดศูนย์กลางอยู่แถวๆ จังหวัดฟูคุชิมะ ของเกาะฮอนชู ตอนเหนือขึ้นไปจากโตเกียวอีกหน่อย ทำให้พื้นที่แถบนั้น ตลอดทั้งแนวเกิดแรงสั่นสะเทือนมาก ขนาดที่สิ่งของต่างๆ ในห้องส่งโทรทัศน์และสำนักงานตกลงมากระจายเต็มพื้น
เสียงเตือนให้ระวังภัยจากสึนามิดังขึ้น ภาพโทรทัศน์ก็ตัดฉับไปที่ชายฝั่งทะเลจังหวัดอิวาเตะ ที่อยู่เหนือสุดของเกาะฮอนชู คลื่นยักษ์สูงกว่าสิบเมตรกำลังเคลื่อนตัวมา เคลื่อนมาช้าๆ อย่างมั่นคง เหมือนมัจจุราชที่กำลังกางเงื้อมมือยักษ์รอตะครุบเหยื่อ แล้วมันก็กระทบชายฝั่ง ผ่านท่าเรือ กวาดรถยนต์นับร้อยๆ คันที่จอดอยู่บนลานจอด เลยเข้ามาในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่กันหนาแน่น พัดผ่านบ้าน และตึกขนาดย่อม พร้อมกับขุดรากถอนโคนมาด้วย เลยลึกเข้าไป จนในที่สุดก็อ่อนกำลังลงตรงหน้าเชิงเขา ดั่งมัจจุราชที่กินจนอิ่ม
เท่านั้นสำหรับจังหวัดอิวาเตะ แต่ไม่ใช่สำหรับจังหวัดมิยากิ ที่มีเมืองชายทะเลแสนสวยเลื่องชื่ออย่างเซ็นได, จังหวัดฟูคุชิมะ ที่เป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถึงสองแห่ง หรือจังหวัดอิบารากิแหล่งผลิตรถยนต์และส่วนประกอบรถยนต์ที่มีคนไทยไปทำงานอยู่เป็นจำนวนมาก
คลื่นยักษ์ค่อยๆ คืบคลานกวาดต้อนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหมู่บ้านริมฝั่งทะเลอย่างใจเย็น เรือ รถ บ้าน แม้แต่เครื่องบินที่จอดในสนามบินริมทะเลที่เซ็นได ถูกน้ำทะเลโคลนสีดำมะเมื่อมพัดพาไปกองระเกะระกะ ซ้อนทับกันไปมา มิใยต้องพูดถึงคน
ฉันกะพี่โต-สามีนั่งดูเหตุการณ์ด้วยความตกตะลึงเหมือนเรากำลังดูหนัง แต่มันไม่ใช่หนัง มันคือเรื่องจริง เราเห็นสะพานแห่งหนึ่งกำลังขาดสะบั้น รถยนต์คันหนึ่ง และรถบรรทุกก๊าซกำลังขับอยู่บนสะพานนั้น คนขับกำลังจอดเปิดไฟกระพริบ คงเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างจัง แล้วก็หันหัวรถกลับไปอีกทางที่มา ฉันนั่งลุ้นรถก๊าซตัวโก่ง จะกลับรถทันมั้ยนะ สะพานข้างหน้าหักแล้ว น้ำกำลังเอ่อล้นสะพานนั้น ไปต่อก็ไม่ได้ แต่จะกลับรถทันมั้ย ...และแล้วก็ต้องถอนหายใจเฮือกที่เห็นคนขับรถพารถคันยักษ์กลับไปอีกทางได้ในที่สุด
ฉันกับพี่โตสบตากันด้วยความอึ้ง...นี่มันอะไรกันเนี่ย ระหว่างนั้นมือฉันก็พิมพ์ข้อความขึ้นไว้ที่ status ของตัวเองบน Facebook ไม่หยุด ที่นี่ญี่ปุ่น มันกำลังเกิดเหตุใหญ่ ใหญ่แน่ๆ เรื่องจริงหรือนี่ ฉันอยากให้เพื่อนๆ ได้รับรู้เหมือนที่ฉันกำลังเห็น
เพื่อนๆ หลายคนตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฟังดูน่ากลัวจังเลย... และแล้วข่าวที่ฉันเห็นก็ไปถึงเมืองไทยอย่างรวดเร็วในอีกไม่กี่นาที เพื่อนๆ เริ่มเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
ภาพในโทรทัศน์ตัดกลับไปที่ห้องส่งอีกครั้ง ผู้ประกาศข่าวกำลังวิ่งหาที่หลบที่ปลอดภัยไปพร้อมๆ กับรายงานเหตุการณ์ไปด้วยไม่หยุด ตึกทั้งตึกกำลังสั่น ไฟสปอตไลท์ต่างๆ โยกเยกเสียงดังกึงๆ ข้าวของในสถานีและออฟฟิศกระจัดกระจาย นี่คืออาฟเตอร์ช็อคที่รุนแรงพอๆ กันกับครั้งแรก 8.9 ริคเตอร์คือที่ประเมินไว้ในเบื้องต้น (ซึ่งต่อมาได้ปรับระดับเป็น 9)
หลังจากที่อาฟเตอร์ช็อคครั้งแล้วครั้งเล่าสงบลง ผู้ประกาศข่าวที่ไม่สามารถหลบออกจากหน้ากล้องก็ต้องพยายามควบคุมเสียงให้เป็นปกติและใส่หมวกนิรภัยพร้อมกับประกาศข่าวที่เกิดขึ้น และเตือนผู้ชมทางบ้านให้พร้อมรับมือกับเหตุต่างๆ
เพื่อนคนไทยที่โตเกียวส่งข้อความมาทาง wall บน Facebook ระบายความกลัวที่ต้องเผชิญกับแผ่นดินไหวครั้งแล้วครั้งเล่าในวันนั้น ตั้งแต่บ่ายยันดึกเกิดอาฟเตอร์ช็อคไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง รถไฟในโตเกียวหยุดวิ่ง ไฟฟ้าดับเพราะต้องหยุดการทำงานของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ที่ชายฝั่งฟูคุชิมะเนื่องจากแผ่นดินไหวและสึนามิ
คนทำงานที่เลิกงานก่อนกำหนดแต่ไม่สามารถกลับบ้านได้เพราะไม่มีรถ พากันยืนรอรถแท็กซี่ที่แทบไม่มีสักคัน เนื่องจากการจราจรหยุดชะงักงัน หลายๆ คนตัดสินใจเดินกลับบ้านไม่ว่าจะไกลแค่ไหน ขณะที่หลายๆ คนรอให้ระบบขนส่งมวลชนเปิดบริการจนแน่นขนัดสถานี ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นว่าต้องหาที่นอนพักค้างคืนชั่วคราวในคืนนั้นเพราะกลับที่พักไม่ได้ โรงแรม โรงเรียน หอประชุม หรือแม้แต่คอนเสิร์ตฮอลล์ต่างๆ ต่างก็เปิดประตูอ้าแขนต้อนรับบรรดานกที่ไร้รังนอนเหล่านั้นด้วยความเอื้อเฟื้อ
ขณะที่ผู้คนที่กำลังเดือดร้อนในพื้นที่ที่ถูกทำลายด้วยสึนามิ ต้องหลบหนีกระเจิงไปรวมตัวกันในโรงเรียนหรือโรงกีฬาของชุมชนที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูงในสภาพไร้บ้านและไร้สิ้นทุกสิ่ง นี่ยังไม่รวมคนที่ต้องอพยพออกจากบ้านเรือนที่อยู่ใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในรัศมี 3, 5, 10 และ 20 กิโลเมตรตามลำดับในเวลาต่อมาเพื่อความปลอดภัยต่อการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสี
ถึงกลางดึกวันนั้นในโทรทัศน์รายงานยอดผู้เสียชีวิตเป็นหลักร้อย แต่ยอดผู้สูญหายในแต่ละจังหวัดที่ถูกถล่มด้วยสึนามิอาจถึงหลักหมื่น เพียงแค่น้ำพัดเอารถไฟขบวนหนึ่งหายไปต่อหน้าต่อตาก็บอกไม่ได้แล้วว่าในนั้นมีคนอยู่กี่คน
ผืนดินที่ถูกน้ำท่วมทรุดตัวลงต่ำกว่าเดิมเป็นบริเวณกว้าง ท้องฟ้าและผืนดินที่ถูกกลืนกันสนิทด้วยความมืดมิด มีแต่เปลวเพลิงลุกไหม้เป็นสีส้มลามเลียเป็นวง เปลวเพลิงที่เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรเมื่อเสาไฟฟ้าและบ้านถูกทำลายพากันไหม้ซากไม้ที่ถล่มทลายดั่งไฟไหม้ป่า
ภาพติดตาจนฉันไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ง่ายๆ ในคืนนั้น ความคิดสับสนประดังประเดบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร คนญี่ปุ่นเป็นกลุ่มชนที่เคารพและยอมรับการอยู่ร่วมกับธรรมชาติมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา แต่ในวันนี้ธรรมชาติได้กวาดต้อนสิ่งต่างๆ กลับลงทะเลไป ทิ้งไว้แต่ความเศร้าและความสูญเสีย
แล้วจากนี้ไปพวกเขาจะมีชีวิตอยู่กันต่อได้อย่างไร?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น