วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศิลปะ (อีกที)



เพิ่งไม่นานมานี้เองที่รู้สึกว่า สายตาในการมองโลกของตัวเองเปลี่ยนไป สีสันแปลกตาที่เข้ามามาระหว่างวันมันมีมากกว่าแค่สีพื้น ๆ แนวโมโนโทน เริ่มรู้จักสังเกตสิ่งรอบข้างมากขึ้นอย่างกระทันหัน พร้อมกับความเพลิดเพลินที่สีต่าง ๆ ได้เดินทางเข้ามาล้อเล่นกับสายตาได้อย่างเพลิดเพลินจำเริญใจ
มองย้อนกลับไป คงเริ่มตั้งแต่วันที่เราเดินเข้าไปในร้านหนังสือบนห้างใหญ่ เดินสอยดินสอสี หนังสือวาดรูป พู่กัน และอุปกรณ์วาดรูปต่าง ๆ กลับมาบ้าน ตั้งแต่นั้นมาเราเลยเริ่มรู้จักสังเกตกับความเป็นไปกับสิ่งรอบตัวมากขึ้น
ความรู้สึกนี้คงเริ่มมาตั้งแต่ เราได้ขับรถออกไปนอกเมือง สายตาได้รับรู้นอกจากสีเขียวของภูเขาแล้ว มันยังมีเฉดสีตั้งแต่สีเขียวอ่อนจนกระทั่งถึงสีเขียวเข้มเกือบดำ ในชั่วขณะเหมือนมีการสะท้อนของแสงและหยดน้ำตกลงมาบนภูเขาเหล่านั้น สีเขียวต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไป
นอกจากสีเขียวของภูเขาแล้ว เรายังได้เริ่มสนุกกับการมองท้องฟ้า, ก้อนเมฆ, ดอกไม้, ต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง จะว่าไปเรื่องเหล่านี้ก็เหมือนกับการมองโลกของเราเหมือนกัน
เรื่องบางเรื่องกับคนบางคน เราอาจจะไม่เข้าใจเลยก็ได้ว่า ทำไมเขาถึงได้มองกันไปคนละเรื่องเดียวกัน แต่ถ้าลองเอาความเป็นศิลปะมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน เราอาจจะเห็นได้ว่า โลกนี้มีความละเมียดละไมในตัวของมันเอง เพราะสายตาเรามีความละเอียดอ่อนมากขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน
เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่ในหนึ่งวัน เราจะพบเจอคนหลากหลาย มีมุมมองที่แปลกประหลาด ร้ายบ้างดีบ้าง และก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้เหมือนกันสำหรับเรื่องของการมอง เพราะถ้าเป็นแฟชั่น มุมมองก็เหมือนกับรสนิยมของแต่ละคน เรื่องของรสนิยมเป็นเรื่องที่สอนกันไม่ได้
เริ่มต้นจากการทดลองเล็ก ๆ ของตัวเอง โดยลองเข้าไปอ่านบนหน้าวอลล์ของเพื่อน ๆ หลาย ๆ กลุ่มในเฟสบุ๊ค ในหน้าวอลล์ส่วนตัวของแต่ละคนนั้น ถ้าสังเกตให้ดีจะแสดงความเป็นตัวตนของแต่ละคนไว้สูงมาก เรียกได้ว่าเราอาจจะเริ่มจัดกระบวนความเข้าใจในตัวเพื่อนแต่ละคนจากบนโลกออนไลน์ได้เลยนะ
จากแต่ก่อนที่ว่าเราไม่เข้าใจเพื่อนคนนี้ว่าทำไมคิดแบบนี้ หรือทำแบบนี้ แต่พอลองอ่านกลับไปบนวอลล์ของเขา มันเหมือนจะมีภาพจิ๊กซอลปะติดปะต่อให้เรารับรู้ความเป็นไปของเขาทีละบททีละตอน ทำให้เราได้รู้ว่า ทำไมอะไรความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนจึงเดินมาถึง ณ ปัจจุบัน
ใครไม่เชื่อลองดูก็ได้ แล้วจะประหลาดใจเป็นอย่างมาก ที่บางครั้งเราเผลอตีความหรือเข้าใจอะไรเขาผิด แท้จริงแล้วเป็นเรื่องของคนสองคนที่เจออะไรไม่เหมือนกันมากกว่า อันนี้รวมถึงความคิด และมุมมองการมองโลกอย่างที่คุยไว้ตั้งแต่แรก
ไม่ได้บอกให้ทุกคนมาชอบศิลปะ ก็อีกนั่นแหละว่าเรื่องของความชอบไม่ชอบเป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้ แต่ใจจริงอยากจะขอบคุณศิลปะมากกว่าที่แม้แต่แค่บทเริ่มต้นของการรู้จักนั้น ก็ทำให้จิตใจเราอ่อนโยนลงอย่างไม่น่าเชื่อ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น