วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

เพือนเก่า (อีกครั้ง)


เขาว่ากันว่า เพื่อนในวัยเด็ก ถ้าเราสามารถรักษาความสัมพันธ์จนพวกเราเติบโตไปด้วยกันได้ มิตรภาพที่เกิดขึ้นนั้นจะยั่งยืน และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ความรู้สึกที่มีอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาที่ก้าวเดินของมันไปเรื่อย ๆ
เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้มีโอกาสกลับไปเจอเพื่อนเก่า นัดเจอกันกลุ่มเล็ก ๆ ที่ร้านอาหารกลางเมือง ถึงแม้กับเพื่อนบางคน เราอาจไม่ได้สนิทด้วยมากนัก แต่ก็รู้สึกว่าเราเห็นเพื่อนคนนี้อยู่ตลอดเวลาในความทรงจำ หลับตาลองนึกภาพก็นึกออกว่า ตอนเด็กเพื่อนเป็นอย่างไร และอะไรที่เราจำเขาได้ ไม่ใช่ภาพที่เบลอ ๆ ในความรู้สึก
ถ้าเป็นก่อนนั้น เราเองคงตะขิดตะขวงใจไม่ใช่น้อย ที่จะกลับไปเจอเพื่อนเก่า ๆ ไม่ใช่ไม่อยากเจอ แต่ด้วยเหตุผลปนความไม่แน่ใจว่า เพื่อนยังเหมือนเดิมไหม เปลี่ยนแปลงไปมากขนาดไหน แล้วเราจะเอาอะไรไปให้เพื่อนฟังว่าเราทำอะไร อยู่ที่ไหน อย่างไร
เพราะความที่เราเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ถนัดทีจะไปเล่าอะไรให้ใครต่อใครฟังถึงเรื่องส่วนตัว แต่ทุกวันนี้คิดว่า ประตูหลายบานของตัวเองได้เปิดมากขึ้น มันเปิดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่สามารถตอบได้ชัดเจน แต่คิดว่ามันคงค่อย ๆ เปิดทีละนิด เป็นการเปิดความคิดในการตัดสินใจจะลองใช้ชีวิตแบบใหม่ เติมเต็มความสุขให้กับตัวเองกับวันที่เหลืออยู่
แล้วก็รู้ว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด
การเปิดทำให้ชีวิตทุกวันนี้ของเรามีความสุขขึ้นเยอะ
จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่าประตูหน้าต่างของเราจะเปิดอ้าไปเสียทุกบาน เพียงแต่มีข้อจำกัดกับชีวิตน้อยลง ลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยได้ทำดูบ้าง หรือถ้าได้ทำ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานเหลือเกินแล้ว
เรียกได้ว่า เส้นแบ่งเขตแดนระหว่างโลกส่วนตัวกับโลกภายนอก มันเขยิบเข้ามาใกล้กันมากขึ้นหน่อย หรือบางทีก็หมุนมาทับกันบางช่วงเวลา เพียงแต่เราเลือกเพื่อนเลือกคนที่จะเข้ามาร่วมแชร์ชีวิตกับเรามากกว่า
คืนนั้นคืนที่นัดเจอกับเพื่อนสมัยเด็ก เราคุยแบบสัพเพเหระเรื่อยเปื่อย ต่างคนต่างแย่งกันคุยแบบไม่ต้องมีฟอร์ม มีความสุขจนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วแบบไม่รู้ตัว เผลอแป๊บเดียวถึงเวลาต้องแยกย้ายกันกลับบ้านเสียแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็รู้สึกว่ามันมีค่านะในความรู้สึกของตัวเอง เราต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน คิดกันเพียงแค่ว่า เดี๋ยวเราต้องมาเจอกันใหม่ในอีกไม่ช้า
มิตรภาพในวัยเด็กมันคงจะดีแบบนี้นี่เอง
ที่ ๆ มันคงอยู่แล้ว มันไม่มีวันหายไปง่าย ๆ
เชื่อว่าเราต่างคนต่างอยากจะหมุนนาฬิกา รอเวลาให้เราได้กลับมาเจอกันอีก ไม่มีใครตอบได้เหมือนกันจะเร็วหรือช้า รู้แต่ว่าคงมีสักวันที่เราจะได้กลับไปสนุกกันอีก
ประตูบางบานถ้าปิดอยู่ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า โลกภายนอกเขาเป็นอย่างไร ถ้าลองเปิดออกมาดู หรือถ้าไม่แน่ใจก็ค่อย ๆ แง้มออกมาก่อนก็ได้ ประตูและหน้าต่างบางบาน อาจจะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงดี ๆ ในชีวิตให้กับตัวเอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นประตูจะเปิดหรือจะปิด เราคนเดียวที่จะเป็นคนตัดสินใจหมุนลูกบิดออกไป (แบบช้า ๆ)  

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

อารมณ์

เครดิตรูปจาก http://www.ismikendra.com/

เขาเรียกเราว่าน้อง
ฟังดูแล้วทำให้รู้สึกว่านานเหลือเกินแล้ว ที่ไม่มีใครเรียกเราแบบนี้ ตอนแรกมีอาการขุ่นข้องใจ ว่าเฮ้ยเด็กรุ่นน้อง มีอาการปีนเกลียวรึเปล่า แต่โถ! มาคิดในแง่ดี แสดงว่าเรายังมีความเป็นเด็กในตัวเองอยู่ไม่น้อย
คิดได้แบบนั้น อาการขุ่นเคืองก็เหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้ง
และก็มีอยู่วันหนึ่ง เราได้ขับรถในกรุงเทพ ฯ ที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าหาที่จอดรถยากมาก แต่วันนั้นด้วยความรีบ เพราะกลัวจะไม่ทันนัด เลยขับรถเข้าไปจอดแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ โดยลืมเช็คไปว่า เขาคิดอัตราค่าจอดรถชั่วโมงละเท่าไร
แต่คิดในใจว่าคงไม่แพง และไม่นาน แค่คุยธุระเสร็จก็จะขับออกมาทันที
วันนั้นเสร็จธุระเรียบร้อยแล้ว ก็เลยขับรถออกมา โดนค่าจอดรถไปชั่วโมงละ 50 บาท เหมือนโดนโจรปล้นเงินไปตรงหน้าแบบดื้อ ๆ แถมน้องคนเก็บบัตรตอบกลับมาว่า
ถ้าพี่สแตมป์บัตรจอดรถ จะจ่ายแค่ชั่วโมงละ 20 บาท
ทันทีที่น้องคนนั้นบอก เราก็หันไปมองกระจกหลัง เตรียมตั้งลำกลับไปหาที่ปั๊มบัตรจอดรถดีกว่า แต่ด้วยความที่โชคไม่เข้าข้าง มีรถมาจอดรอออกอยู่ 2-3 คัน เลยหมดสิทธิ์ จำเป็นต้องจ่ายเงิน 50 บาทนั้นไปอย่างน่าเสียดาย
ไอ้ความที่มัน “50 บาท กับไอ้ที่เขาเรียกเราว่า น้องพาลทำให้หงุดหงิดใจอยู่ชั่วครู่ชั่วยาม ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่ก็ยังพกพาอารมณ์แบบนั้นอยู่ในขณะที่เดิน หรือช่วงที่อยู่บนท้องถนน
ซึ่งตามหลักแล้ว เราควรจะปล่อยมันไป เดี๋ยวนี้เงิน 50 บาทในเมืองใหญ่ แทบจะมีมูลค่าน้อยมาก หรือการที่ใครมาเรียกเราว่าอะไรก็แล้วแต่ ไม่น่าจะให้มันมาเป็นอารมณ์ แต่ตัวเราเองต่างหาก ที่เก็บมันขึ้นมา เก็บมันมาคิด ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวโดยไม่เห็นทางว่ามันจะเกิดประโยชน์กับใคร หรือแม้แต่ตัวเราเองทั้งสิ้น
การตรวจสอบอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่เสมอ
บางครั้งการเดินถอยหลังมาตั้งหลัก แทนที่จะเดินหน้าไปแบบไม่รู้ทิศรู้ทาง น่าจะดีกว่าเป็นไหน ๆ การถอยหลังไม่ได้หมายความว่า เราจะหยุดเดิน เพียงแต่เราเดินย่ำอยู่กับที่ก่อน หรือถอยหลังสัก 1-2 ก้าว แล้วค่อยเดินต่อ ทำให้ก้าวที่เดินต่อเป็นเรื่องของความมั่นคง
อย่างน้อยก็เป็นความมั่นคงทางอารมณ์
ที่สมัยนี้หาได้ยากเหลือเกิน
คนกรุงเทพ ฯ หงุดหงิดง่าย ขับรถไม่ถูกใจหน่อย ก็บีบแตรกันเสียงดังลั่น ดีไม่ดีเจอคนบ้า ๆ ลงมาขู่จะเอากันให้ถึงชีวิต ทั้ง ๆ ที่เถียงกันแค่ใครจะออกจะเข้าก่อนกันก็เท่านั้นเอง
ต้องใจเย็นลงอีกนิด ถือคติว่า ยิ้มกันวันละนิด จิตแจ่มใสดีกว่าเยอะเลย

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ความสุข



ความสุขที่สุดในชีวิตคือ การที่ได้เรากินอิ่มนอนหลับ ได้ทำในสิ่งที่เรามีความสุขในระหว่างวัน วันนี้ขณะที่กำลังเขียนต้นฉบับ รู้สึกว่ามันเป็นอีกวันหนึ่งที่เต็มอิ่มกับชีวิต เป็นความสุขที่เรียบง่าย หาได้ไม่ยาก ไม่ต้องใช้เงินอะไรมากมาย แค่ได้หลีกหนีไปจากชีวิตจำเจสักวันหนึ่ง แค่นี้ก็เป็นรางวัลให้กับชีวิต แบบใครจะเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
วันนี้เริ่มต้นการเดินทางออกสำรวจกรุงเทพ ด้วยการทิ้งยานพาหนะไว้ที่บ้าน แล้วขึ้นรถลงเรือไปเดินเล่นชิลล์ ๆ แถววังหลัง ท่าเรือศิริราช ความตั้งใจอย่างแรกคือ อยากจะไปถวายพระพรพ่อหลวงของเราแบบใกล้ ๆ เหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง และแล้วก็สมความตั้งใจ
ต่อมาเป็นความเพลิดเพลินจำเริญใจของตัวเองล้วน ๆ การเดินทางโดยใช้ยานพาหนะสาธารณะ ทำให้เราได้เห็นชีวิตที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ชีวิตของคนเก็บตั๋วบนเรือเมลล์ คนนั่งตกปลาบนสะพานที่กำลังชักเย่อสนุกกับเกมตรงหน้า จนลืมสนใจไทยมุงที่คอยให้กำลังใจอยู่ข้าง ๆ หรือแม้แต่ชีวิตคนขายของตามท่าเรือต่าง ๆ
ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่เราเห็นได้ไม่บ่อยนัก ถ้าไม่ได้มีโอกาสแบบวันนี้ วันที่ตั้งใจจะเดินช็อปซื้อของเก่า หาของกินเล่นตามรายทาง และจบทริปสุดท้ายในวันนี้ด้วยการไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินตรงข้ามวัดอรุณ ฯ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เมืองไทยเจอฝนกระหน่ำไปทั่วทุกภาค เรียกได้ว่าฝนตกแทบจะทุกวัน เราเลยเห็นภาพกระสอบทรายวางเรียงรายอยู่ตามท่าเรือต่าง ๆ สัมผัสได้กับความยากลำบากของคนขายของแถบนั้น แต่รอยยิ้มดูเหมือนจะไม่ได้เลือนหายไปจากใบหน้าคนเหล่านั้น
เมื่อชีวิตยังไม่สิ้น
ก็คงต้องดิ้นกันต่อไป
ดูเหมือนจะเป็นบทสรุปง่าย ๆ แบบนั้น
ทริปนี้จบท้ายด้วยการไปนั่งทานอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตั้งอยู่บนพิกัดตรงข้ามกับวัดอรุณ ฯ เป๊ะ ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า สีฟ้าปนสีส้มและสีขาวของเมฆตัดกับภาพของวัดอรุณ ฯ ช่างเป็นภาพที่ทำให้เรารู้สึกว่า ความสวยงามอยู่ใกล้แค่เอื้อมแค่นี้เอง ไม่เห็นต้องไปวิ่งหาให้เหนื่อยยากเลย
เมื่อดวงตะวันลับฟ้า พร้อมกับไวน์ที่หมดไปหนึ่งขวด คงได้เวลากลับบ้านเสียที วันนี้เราเดินออกมาจากตรอกกันแบบเงียบ ๆ ออกมาเรียกรถแท๊กซี่หน้าวัดโพธิ์ มุ่งหน้ากลับบ้านที่แจ้งวัฒนะ แบบคิดถึงเตียงนอนนุ่ม ๆ ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
การเดินทางไม่จำเป็นต้องใช้เวลาหลาย ๆ วัน
แค่ได้ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน กับสิ่งที่เราไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำ
แค่นี้ก็คงทำให้เติมสีสันกับชีวิตจำเจของเราบ้างไม่มากก็น้อย
สุขสันต์ในวันธรรมดาแบบวันนี้ก็แล้วกันนะคะ


วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

บาหลี


เคยถามตัวเองว่า เราเองคงเป็นโรคประหลาด ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาว่า ถ้าจะไปเที่ยวที่ไหน จะต้องกระตือรือร้นไปสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ๆ ของจุดหมายปลายทางนั้น ๆ อย่างไปเที่ยวครั้งล่าสุดที่บาหลี ก็แอบลดโปรแกรมทัวร์ตามวัดต่าง ๆ ออกไปมากกว่าครึ่ง
มาดี คนบาหลีที่เราจ้างมาเป็นคนขับรถและนำทางเราเที่ยวครั้งนี้ คงแอบดีใจเล็ก ๆ เหมือนกัน ว่าเขาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากเมื่อเจอลูกทีมแบบเรา
การเดินทางครั้งนี้ 5 วัน 4 คืน ตอนแรกกะกันไว้ว่าจะแบ็คแพคไปกันสองคน แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน เพราะมีแม่เข้ามาร่วมแจม ไปกับผู้ใหญ่แบบนี้ เลยต้องปรับทริปเป็นแบบชิลล์ ๆ สบาย ๆ ดีกว่า
โดยทีมเราถือคติว่า เพื่อนร่วมทางนั้นสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นใครอยากจะทำอะไรทำ ไม่อยากไปเที่ยวตามโปรแกรม ก็พักผ่อนอยู่ในโรงแรม ไปกันแบบสบาย ๆ ใครอยากทำอะไรทำ ตามใจกันแบบนี้ใคร ๆ ก็ชอบ
จริง ๆ แล้วการพาแม่ไปครั้งนี้ ถือว่าเป็นการฉลองให้แม่ หลังจากคุณหมอคอนเฟิร์มว่า แม่ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายอย่างที่สงสัยไว้ เพราะฉะนั้นการเดินทางของพวกเราครั้งนี้ ถือเป็นการไปเที่ยวแบบโล่งใจเป็นที่สุด
ใครที่เคยไปบาหลีแล้ว จะรู้ว่าสถานที่นี้เป็นสวรรค์ของคนที่รักศิลปะ ขับรถไปบนท้องถนนเกือบทุกที่ อย่างน้อยจะมีแกลลอรี่ภาพวาดเล็กบ้างใหญ่บ้าง อวดโฉมให้เราได้เห็นตามรายทาง และเกือบจะตลอดทริปการเดินทางครั้งนี้
ความสุขของเราอยู่ตรงที่ ได้เห็นวิถีการใช้ชีวิตที่ผสมผสานระหว่างการเป็นเมืองท่องเที่ยว กับคนพื้นเมืองที่พยายามจะรักษาระยะห่าง ระหว่างวัฒนธรรมและความเชื่อของตัวเองเอาไว้ ทำให้เราได้เห็นภาพผู้หญิงบาหลีนุ่งผ้าโสร่งสีสด วางของสูง ๆ อยู่บนศีรษะขณะเดินออกจากวัด เดินเรียงแถวมาตามถนนหนทางอย่างเป็นระเบียบ
ภาพนี้ถ้าจะเปรียบ คงจะเป็นเหมือนออกซิเจนให้กับชีวิต ว่าเราสามารถดำรงอยู่ได้ด้วยวิถีทางชีวิตของเราเอง แม้จะมีกระแสเชี่ยวกรากของการท่องเที่ยวเข้ามาเคาะประตูบ้านอยู่เป็นระยะ
ความสุขมันดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง
นอกจากศิลปะบาหลีที่ดูเมือนจะเป็นตัวชูโรงของการเดินทางครั้งนี้แล้ว เรายังมีโอกาสได้เห็นการทำนาแบบขั้นบันได ที่สวยสดงดงามเหมือนภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น
และที่น่าประหลาดใจเป็นที่สุดก็คือ เขาสามารถทำนาขั้นบันไดติดกับโรงแรมหรือรีสอร์ท แบบที่เราเองผู้เป็นแขกไปเยือนก็ไม่ได้รู้สึกเก้อเขินแต่อย่างใด ที่มีชาวนามาปลักดำต้นกล้าอยู่ข้าง ๆ สระว่ายน้ำของโรงแรม
วันนั้นเราจบทริปด้วยการกินข้าวกันแบบบาหลีแท้ ๆ กลางทุ่งนา ภาพพระอาทิตย์สีส้มเหลืองกำลังจะตกดิน ตัดกับทุ่งนาสีเขียวขจี พร้อมกับลมพัดมาเอื่อย ๆ ให้ความรู้สึกสงบร่มเย็นกับเราอย่างมีความสุขที่สุดในค่ำคืนวันนั้น