วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ความกล้า

เครดิตรูปจาก http://randomthoughtsonlifeblog.com

วันนั้นเราขับรถออกจากปากซอยบ้านตามปกติ ออกตามทางเรื่อยมาจนถึงหน้าปากซอย ข้างหน้าบ้านเป็นถนน 8 เลน ค่อนข้างใหญ่พอสมควรที่จะวิ่งได้ฉิว ๆ ช่วงเวลาไม่เร่งด่วน เรากะเวลาเข้าออกแบบคนทำงานเข้าออฟฟิศกันหมดแล้ว คิดว่าจะต้องออกไปเจอถนนโล่งพอจะขับให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างสบาย ๆ

กลับรถออกมา เพื่อขับขึ้นไปเพื่อขึ้นทางด่วน อารมณ์คนขับเป็นปกติ เปิดเพลงชิลล์ ๆ แอร์ในรถกำลังเย็นสบาย แล้วก็ต้องเหยียบเบรคแทบไม่ทัน จากถนนคิดว่าโล่งกลายเป็นติดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัดสินใจตีรถออกทางขวา แล้วภาพเคยชินก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ไม่รถเมล์ก็รถตู้ ไม่รถตู้ก็รถแท๊กซี่ ไม่รถแท็กซีก็รถยนต์ส่วนตัว ที่คอยเปิดไฟฉุกเฉิน ซึ่งกินพื้นที่บนถนนไปถึง 3 ใน 4 เลน

เป็นภาพที่พยายามบอกตัวเองว่า

ยังไม่ชินอีกหรือ

น่าจะชินกับสภาพแบบนี้ในกรุงเทพ ฯ ได้แล้ว

แต่ก็ตอบตัวเองได้ว่า ยังไม่ชินทุกที

มันพาลทำให้หงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องเจอกับคนขับรถแบบเหมือนข้าเป็นคนสร้างถนนขึ้นมาเอง

พอพาลหงุดหงิด ก็ต้องพูดกับตัวเองว่า เอาน่าหงุดหงิดไปก็ไม่ได้อะไร มันเป็นเพียงแต่สภาพที่เราต้องยอมรับ แต่อยู่มาวันนี้ทำให้ฉุกคิดได้ว่า มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เคยชิน แต่มันน่าจะเป็นเรื่องของความรับผิดชอบของทุกคนกับถนนที่เราต้องแบ่งกันใช้มากกว่า

เรื่องแบบนี้บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะกับนิสัยคนไทยอะไรก็ได้ ยอม ๆ กันไป แต่เรื่องกฎระเบียบวินัยง่าย ๆ แบบนี้ เราควรจะต้องทำกันให้ได้ การฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัย หัดเคารพในกฎกติกา เป็นปัจจัยสำคัญให้ประเทศเราเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

พูดถึงเรื่องนี้ แล้วทำให้นึกถึงเรื่องการตรงต่อเวลาของคนไทย วัดเอาเองจากเด็กนักเรียนที่ตัวเองสอนอยู่, คนที่เราต้องนัดพบเจอเพื่อพูดคุยธุระ, การตรงต่อเวลาในการเข้างานของลูกน้องที่ร้าน ยอมรับว่า

บางครั้งก็ทำให้หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะตัวเองเป็นคนถูกเทรนมาให้ตรงต่อเวลา ยิ่งนัดไหนเป็นแมทช์สำคัญถึงกับวางแผนล่วงหน้าเอาไว้นาน ๆ หรือบางทีตัวเองก็ยอมเป็นฝ่ายไปก่อนเวลา เพื่อจะได้ไม่พลาดนัดครั้งนี้

แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่ชอบมากระทบโสตประสาทเราบ่อย ๆ ว่า

ใคร ๆ เขาก็มาสายกัน

ใคร ๆ เขาก็ส่งงานไม่ตรงเวลากันทั้งนั้น

คำว่าใคร ๆ นี้คงไม่ได้รวมหมายถึงเรา เพราะเป็นคนเป๊ะมาตั้งแต่เด็ก เรื่องผิดเวลานัดนั้นจะเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย

ทั้งนี้ไม่ได้มาเขียนไว้เพื่อชมตัวเอง เพียงแต่แค่รู้สึกว่าคนในประเทศต้องมีระเบียบวินัยก่อน ประเทศชาติถึงจะเจริญได้ ช่วยกันทำคนละเล็กคนละน้อย เมื่อรวมกันมันจะเหมือนเป็นคลื่นลูกใหญ่ พัดพาหรือหันเหสังคมของเราให้เดินไปบนทางที่แข็งแรงมากขึ้น

กล้าที่จะคิดแตกต่าง

กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

และกล้าที่จะมั่นคงในจุดยืนของตัวเอง

ความกล้าที่จะคิดต่าง และความกล้าที่จะแหกกฎในสิ่งที่คนอื่นเขาทำ ๆ มา ไม่เพียงแต่จะทำให้คลื่นไม่กลายเป็นเพียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง แต่จะเป็นคลื่นที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ในสถานที่ ๆ เราใช้ชีวิตอยู่ ณ ตรงนั้น





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น