(เครดิตรูปจาก zone-it.com) |
วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง อีกเดือนกว่าจะใกล้ปีใหม่อีกแล้ว…
เหมือนใครมาแกล้งหมุนเข็มนาฬิกาให้มันหมุนไวขึ้นกว่าเดิม…
เคยถามตัวเองแบบโง่ ๆ บางทีเราใช้ชีวิตแบบให้หมดไปวัน ๆ รึเปล่า เหมือนคนล่องลอยแบบไม่มีอนาคต วางแผนคิดวาดฝันอะไรไว้ มันก็ได้เห็นกันแค่ในจินตนาการ มองย้อนกลับไปในปีนี้ ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราโง่รึเปล่าที่ไม่ฉลาดในการใช้ชีวิต มันไม่ใชเรื่องของความโง่หรือไม่โง่ (คิดแบบเข้าข้างตัวเอง) ของบางอย่างแค่มาแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาก็เท่านั้นเอง
มีเพื่อนหลายคนถามว่า จะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่เมื่อไร?
คำถามนี้เหมือนมาสะกิดความฝันของตัวเองอยู่ลึก ๆ เหมือนกันนะ ถ้าถามว่าอยากทำอะไรที่สุดในระยะเวลาหนึ่งปี สองปีจากนี้ คงตอบแบบไม่ต้องคิดว่า อยากเขียนหนังสือ เพราะการเขียนหนังสือเป็นสิ่งที่ตัวเองมีความสุขที่สุด แต่ในโลกของความเป็นจริงก็คือ หนังสือขายไม่ค่อยออก (ฮา…)
จากประสบการณ์ของการออกหนังสือ “บันทึกฅนเล่าเรื่อง” (ขอแอบโฆษณานิดนึง) การออกหนังสือหนึ่งเล่มไม่ยาก แต่จะขายได้ไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ทุกวันนี้ยังมีหนังสือเหลือทิ้งไว้ที่ห้องเก็บของอยู่บ้าง และบางส่วนยังวางอยู่ที่หิ้งร้านขายหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ (อันนี้เป็นความภูมิใจส่วนตัว)
จากคนไม่มีอะไร จากคนไม่รู้จักใคร ไม่รู้จัก connection กับใครหรือองค์กรไหน นอกจากความอยากที่จะมีหนังสือเป็นของตัวเอง แล้วยังต้องมีความบ้าอยู่ในตัวเองพอสมควร ตอนนั้นทำไปโดยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอย่างไร อะไร คิดแค่ว่าอยากจะทำอยากจะเห็นหนึ่งในความฝันของตัวเอง สามารถจับต้องได้ และต้องขอบคุณครอบครัวและเพื่อนสนิทอีกหลายคน ที่ทำให้ความฝันของคน ๆ หนึ่งกลายมาเป็นความจริง
อันนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่ผ่านไปแล้วในรอบปีกว่าที่ผ่านมา
คราวนี้เรามาลองไปข้างหน้ากันบ้าง…
“ใครมีความฝันล้อมวงกันเข้ามา” เสียงเพลงของวงเฉลียงเหมือนจะลอยตามลมเข้ามาทางช่องหน้าต่างยังไงยังงั้น
เริ่มความฝันแรก ก็คืออยากเห็นพ่อแม่ได้ปลดเกษียณวางมือจากการทำงานเสียที และการจะทำได้แบบนั้น เราคงต้องสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ก่อนอื่น เพราะที่เขาทั้งคู่ไม่ยอมวางมือ เพราะคงเห็นว่าเราอายุตั้งสี่สิบ ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรกับเขาเลย เขียนมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าบางครั้งตัวเองเหมือนลูกอกตัญูญู ไม่เคยได้มีโอกาสตอบแทนอะไรเขาบ้างเลย
มีคำถามของน้องสาวลอยเข้ามาในสมองว่า
“พ่อกับแม่จะอยู่กับเราได้อีกกี่ปี”
“ถ้าอยากจะทำอะไร ต้องรีบทำ”
พอคิดได้แบบนี้ มันเหมือนกระตุ้นเซลล์สมองส่วนที่ไม่เคยรับผิดชอบกับชีวิตใครเหมือนกันนะ ว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะพ่อกับแม่ เพราะอย่างที่น้องสาวว่า เขาคงอยู่กับเราไม่นาน ลองคิดดูพ่ออายุ 73 ปียังดิ้นรนเพื่อที่จะมั่นใจว่า วันที่เขาจากไปพวกเราพี่น้องสามคนจะใช้ชีวิตอยู่กันไปได้แบบไม่ลำบากมากนัก กับแม่ที่อายุปาเข้าไป 67 ปี ทุกวันนี้ตีห้ายังคงไปเป็นผู้กำกับอยู่ที่ร้านอาหารอยู่เหมือนเดิม
ความฝันอย่างที่สอง เหมือนตอบสนองกับโจทย์ข้อแรก คืออยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เพิ่งรู้ตัวเองไม่นานว่า บางทีพฤติกรรมของแม่คงจะซึมซับเข้ามา อยากเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ เลี้ยงตัวเองได้ และมีเวลาไปเขียนหนังสืออย่างที่ตัวเองอยากทำ
ความฝันยังคงจะเป็นความฝันวนเวียนอยู่แบบนี้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง เชื่อว่าทุกคนต่างมีความฝัน
ถือเวลาว่าได้ฤกษ์ใกล้ปีใหม่นี้ ตะลุยความฝันให้มันกลายเป็นความจริง…
ถึงเราจะมีความฝันที่ต่างกัน แต่เราก็สามารถทำไปพร้อมกันได้…