วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

ศิลปะของคนทำอาหาร

เครดิตรูปจาก http://www.idealsilver.com/

การทำอาหารเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
เคยลองสังเกตดูเองหลาย ๆ ครั้งว่า ถ้าวันไหนเราอารมณ์ดีแบบชิลล์ ๆ วันนั้นต่อให้สูตรไหน อาหารนั้นยากแค่ไหน หรือแม้แต่ไม่เคยทำอาหารชนิดนั้นมาก่อน วันนั้นเราจะมีความตั้งใจกับการปรุงอาหารตรงหน้าเป็นพิเศษ
ความตั้งใจบวกกับอารมณ์คนทำที่แจ่มใส เชื่อไหมต่อให้อาหารที่ทำนั้นยากแค่ไหน มันก็จะออกมาไม่แย่จนเกินไปนัก
อันนี้เปรียบเทียบกับมาตรฐานของตัวเอง ที่ไม่ใช่คนปรุงอาหารที่เก่งมากนัก เมื่อมองไปคนรอบ ๆ ตัว ถ้าจะให้เทียบกับการขับรถ ก็น่าจะเป็นแค่มือใหม่หัดขับ
ที่บอกว่าการทำอาหารเป็นศิลปะ (อาจจะถึงชั้นสูง) อย่างหนึ่ง เพราะเป็นทักษะเฉพาะตัวที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และอาจจะรวมถึงพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล อาจจะเป็นเพราะว่า คงไม่มีใครสามารถจับพู่กันและสามารถวาดรูปออกมาได้ทุกคน หรือคงมีไม่กี่คนที่สามารถถ่ายรูปและถ่ายทอดอารมณ์ เรื่องราว ความรู้สึกอย่างมีชีวิตผ่านกระดาษอัดรูปธรรมดา ๆ
เราอาจจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
และเราอาจจะไม่เห็นในสิ่งที่คนอื่นเห็น
นอกจากสิ่งเหล่านี้ แม่ชอบสอนเสมอว่า นอกจากอาหารจะต้องอร่อยลิ้นแล้ว จะต้องอร่อยตาด้วย คือต้องจัดออกมาให้อาหารจานนั้น ๆ มีความสวยงามตั้งแต่เราเอาไปวางที่โต๊ะลูกค้า อันนั้นจะเป็นความประทับใจอย่างแรกที่ลูกค้ามีกับอาหารของเรา
อาทิตย์นี้เล่าเรื่องความสวยงามของอาหาร เพราะว่ารู้สึกค่อย ๆ ตกหลุมรักการทำอาหารแบบช้า ๆ เนิบ ๆ มารู้ตัวอีกทีก็เหมือนจะถอนตัวไม่ขึ้น การทำอาหารเป็นศิลปะ แต่การทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมันอาจจะคนละเรื่องกัน
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ที่อย่างไรเราก็คงหลีกไม่พ้นธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว การกลับมาแอลเอคราวนี้ก็เลยเหมือนจะได้ฤกษ์ทำความเข้าใจกับระบบความคิดของตัวเองใหม่ พยายามจะเอาศิลปะกับธุรกิจควบคู่ไปด้วยกัน เพราะคงไม่มีใครปฎิเสธที่เราอย่างไรก็ต้องกินต้องใช้
พยายามจะทำให้มันเป็นแบบ คอม เม่อร์ เชี่ยว อาร์ตให้ได้ อย่างน้อยตัวเราเองก็มีความสุขในการเดินเข้าร้านทุกวัน เรื่องการบริหารร้านบริหารคนไม่ต้องพูดถึง ยิ่งคนมากยิ่งเรื่องเยอะ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็จะพยายามดึงความคิดของตัวเองให้มาอยู่ตรงกลาง เพื่อจะได้มีความสุขมากขึ้น ทุกข์ให้น้อยลง
ปีนี้เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ อ่อนปวกเปียก มีร้านอาหารหลายร้านทั้งฝรั่งและไทย ล้มหายตายจากกันไปก็เยอะ ร้านที่อยู่ต่อไปก็อยู่ได้ไม่ดีนัก มีหลายคนเริ่มพูดถึงการพัฒนาอาหารไทยให้ไปสู่ระดับสากล
ส่วนตัวคิดว่าการจะเดินไปให้ไกลถึงขนาดนั้น เราอาจจะต้องมาทบทวนบทบาทของตัวเองกันใหม่ ไม่ว่าจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ถามว่าทางภาครัฐเคยมีความคิดที่จะใส่อาหารไทยเป็นวาระแห่งชาติบ้างไหม? หรือทางฝากเอกชน ต้องถามกันว่ามีความตั้งใจจริงกันแค่ไหน ที่คงไม่ใช่แค่เปิดร้านในเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วโลกแล้วจะเป็นการจบภาระหน้าที่กันแค่นั้น
ก็บอกแล้วไงว่าอาหารเป็นทั้งศิลปะและธุรกิจ
ต้องทำให้แซ่บลิ้น และสวยงาม!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น