วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

แค้มป์ปิ้ง

วาดภาพโดย jira keith

เป็นเรื่องสนุกสนานทุกครั้ง ที่ได้มีโอกาสเก็บของใส่กระเป๋า แล้วได้เดินทางไปไหนสักแห่ง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล และความสนุกสนานยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ ถ้าได้เริ่มโหลดเต้นท์, ถุงนอน, ฟูกรองนอน, หม้อไห, อุปกรณ์ทำครัว เพื่อเตรียมตัวออกไปแคมป์ปิ้ง
ยิ่งครั้งล่าสุด ความสนุกเริ่มต้นตั้งแต่ก่อนเก็บของเสียอีก เพราะเป็นครั้งแรกของเราที่ได้แค้มป์ปิ้งที่เมืองไทย บริเวณวังน้ำเขียว ประมาณ 60 กิโลเมตรจากเขาใหญ่
บอกเพื่อน ๆ ว่าจะไปแคมป์ปิ้งช่วงนี้ เพื่อนคงนึกว่าบ้า ใครจะออกไปแค้มป์กันช่วงนี้ เพราะฝนตกไม่เว้นแต่ละวัน หลาย ๆ รีสอร์ตติดกับอุทยานแห่งชาติทับลานถึงกับปิดให้บริการไปเลย แต่ก็ยังมีบางที่ ๆ ยังคงยืดหยัดเพื่อต้อนรับคนบ้า ๆ ประเภทเราอยู่
ไปช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังมีการรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับรีสอร์ตหลายแห่งบริเวณวังน้ำเขียว บุกรุกพื้นที่ป่า ข่าวล่าสุดแว่วมาว่า ศาลได้มีคำสั่งให้รีสอร์ตบางแห่งรื้อถอนสื่งก่อสร้างที่ไม่ได้รับอนุญาต
ไปให้เห็นจะได้รู้กันไปเลยดีกว่า
จากกรุงเทพ ฯ ใช้เวลาเดินทางแค่ 2 ชั่วโมงกว่า บรรยากาศปลอดโปร่งดีมาก ๆ จนสงสัยว่าหรือนี่ฟ้าฝนจะเป็นใจ ให้เราแค้มป์กันอย่างไม่ต้องคอยหลบฝน (ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วจะหลบฟ้าหลบฝนกันไปทำไม เพราะอย่างไรเราก็มีฟ้าเป็นหลังคาโลกเราอยู่ดี)
หรืออย่างน้อยก็ต้องขอบคุณฝนในช่วงที่ผ่านมา เพราะทำให้ถนนหนทาง ภูเขา, ต้นไม้, ใบหญ้าข้างทางเขียวชอุ่มไปทั้งผืน โดยเฉพาะถนน 2 เลนช่วงจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ลัดเข้ามา เพื่อตัดผ่านเขาแผงม้า และวังน้ำเขียว ระยะทางช่วงนี้ประมาณ 60 กิโลเมตร ที่ขอรับประกันได้ว่าเป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดของเมืองไทยเลยก็ว่าได้
ถึงที่ต้องแคมป์บ่าย ๆ เย็นย่ำ ซึ่งแน่นอนไม่ใครเลยนอกจากกลุ่มของพวกเรา เริ่มต้นหุงหาอาหาร ตามประสาว่าเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ แบ่งหน้าที่กันทำกับข้าวและตั้งเต้นท์กันตามระเบียบ ภาพท้องฟ้าใส ๆ ตัดกับก้อนเมฆสีขาว แซมด้วยทุ่งหญ้า ภูเขาสีเขียวสด สูดอากาศให้เต็มปอด โอ้ย! แบบนี้เขาเรียกว่าความสุขบนดินแท้ ๆ
คืนแรกผ่านไปด้วยดี ตบท้ายก่อนหลับนอนเข้าเต้นท์ใครเต้นท์มัน ด้วยการต้มไข่หน้าเต้นท์แกล้มกับไวน์แดง คืนนั้นหลับสนิทไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
วันต่อมา ฝนฟ้าเริ่มตั้งเค้ามาตั้งแต่ไกล เริ่มตั้งเค้ามาตั้งแต่บ่าย นั่งเล่นวาดรูปกันอยู่ที่แคมป์สักพัก ท่าทางจะไม่รอด เลยรีบขนของย้ายฝนกันเป็นการใหญ่ สนุกไปอีกแบบ ประสบการณ์ตั้งแคมป์ที่เมืองนอก สอนเราให้รีบไปตรวจสภาพรอบ ๆ เต้นท์ว่าอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ กับทิศทางน้ำฝน
ใช้เวลาไม่นาน ฝนเริ่มตกมาแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่ไม่รู้จะอนาทรร้อนใจไปทำไม บางทีนั่งมองและฟังเสียงฝนก็มีความสุขไปอีกแบบ
ใครอยากลองออกไปแคมป์ช่วงฝนตกต้องลองดู แต่อย่างไรอย่าลืมเตรียมตัวไปให้พร้อม โดยเฉพาะใจของเรา ว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะเกิดอะไรขึ้น ขอให้ใจได้เป็นสุขนั้นเป็นพอ

วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เพื่อนใหม่

เพ้นท์ติ้งรูปแรกในชีวิต

วันก่อนเดินเข้าไปร้านหนังสือบนห้างใหญ่ เพิ่งรู้ตัวว่านานเหมือนกันแล้วนะที่เราไม่ได้มาเยี่ยมแวะเวียนร้านหนังสือเลย ทั้งที่ก่อนนั้นเป็นที่ ๆ เราไปเป็นประจำ และใช้เวลาได้หลายชั่วโมง แต่ละชั่วโมงผ่านไปแบบไวเหมือนโกหก
คงจะเป็นเพราะว่า เดี๋ยวนี้โลกของหนังสือ ย้ายมาอยู่บนโลกอินเตอร์เนต อยากจะรู้อะไร อยากจะอ่านอะไรก็แค่หยิบคอมมาเปิดดู อืม แต่ความรู้สึกระหว่างการนั่งหลังคอมแล้วอ่าน กับการได้จับหนังสือ พลิกหน้ากระดาษทีละหน้า ๆ
เราว่าความรู้สึกมันต่างกันนะ
เพราะวันนั้น รู้สึกว่าคิดถึงเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษ
เลยใช้เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแบบไม่รู้ตัว
คิดถึงร้านหนังสือกับความรู้สึกวันนั้น ก็เหมือนกับอะไรที่เราผูกพันกันมานาน แต่เวลาหรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้เราห่างหายแยกย้ายกันไป เหมือนไม่เคยพบกันหรือเคยรู้จักกันมาก่อน
พวกเราคงจะมีคนในกาลเวลาอยู่กันทุกคน ที่อยู่ดี ๆ คนหนึ่งคน เหตุการณ์บางเหตุการณ์ก็เหมือนหายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น จะให้นึกยังนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้หายไป และหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าในความรู้สึกนั้นมันเหมือนยาวนานเหลือเกิน
หลังจากอ่านหนังสือผ่านไปพักใหญ่ เริ่มอยากพักสายตาบ้าง เลยเริ่มเดินไปแถวที่ขายเครื่องเขียน ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน เดินไปได้ยินแม่ลูกคู่หนึ่งคุยกันหน้าตู้กระจกบานใหญ่ ข้างในนั้นเต็มไปด้วยเครื่องมือระบายสีวางขายเต็มชั้นไปหมด
แม่: ลองเอาออกมาดูไหมลูก อยากได้อันไหน แม่จะซื้อให้
ลูก: อยากได้สีกล่องที่ใหญ่ที่สุดคะ เพราะหนูจะได้มีสีระบายเยอะ ๆ
(ว่าแล้วคนขายก็หยิบเอาสีกล่องใหญ่มาให้แม่หนูดู)
แม่: ชอบไหมลูก แต่แม่ว่ามันอาจจะใหญ่ไปนะ เวลาลูกถือไปโรงเรียน
ลูก: เรื่องกล่องใหญ่ หนูไม่กลัวหนักหรอก แต่หนูว่าสีอะไรทำไมแพงจัง ราคาหลายร้อยเลยนะคะแม่ หนูว่าเราซื้อกล่องเล็ก แล้วหนูไปปน ๆ เอาก็ได้สีใหม่เองแหละแม่ เงินที่เหลือเอาไปกินเค เอฟ ซีกันดีกว่า
แม่: ???!!!???
แอบฟังอยู่ตรงนั้น แล้วรีบอมยิ้มเลย แม่หนูคนนี้ช่างมีความคิดดีจริง ว่าแล้วก็เลยเป็นเรื่องของคนตัวโต เปิดกล่องสีกล่องโน้นกล่องนี้ดู อืม! แม้ร้านหนังสือจะเป็นเหมือนเพื่อนที่หายไปตามกาลเวลา แต่กับพวกสี ๆ ขีด ๆ เขียน ๆ กลับกลายเป็นเพื่อนใหม่ของเราไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ
วันนั้นจบลงด้วยการซื้อสีอะครีลิคกล่องเล็ก (ตามที่หนูน้อยคนนั้นแนะนำ) พู่กัน 2-3 อันที่คิดว่าจำเป็นต้องใช้ กับแผ่นเฟรมขนาดไม่ใหญ่มากนัก และวาดคร่าว ๆ มาให้แล้ว จะวาดเองก็อาจจะหนักเกินไปสำหรับมือใหม่หัดขับอย่างเรา
ขอบคุณร้านหนังสือ เพื่อนเก่าของเราที่แนะนำมาให้รู้จักกับเพื่อนใหม่ อย่างกล่องสี แผ่นเฟรมผ้าใบ และพู่กัน


วันพุธที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ดัชนีความสุข

เครดิตรูปจาก www.ytoomblog.com

ดัชนีของความสุข บางทีก็ไม่ได้วัดกันที่แก้วแหวนเงินทอง หรือตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในสมุดบัญชีธนาคาร หลายครั้งที่เราพยายามจะไขว่คว้าหามัน จนหลายหนเราลืมที่จะมีความสุขกับอะไรที่มีอยู่และวางอยู่ตรงหน้า
ย้ำกันชัด ๆ อีกทีเรื่องปรอทวัดความสุข ว่าเงินอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องบ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุที่สำคัญที่สุด เพราะเมื่ออาทิตย์ก่อนได้อ่านผลวิจัยของเอแบคโพลล์ เรื่องการจัดอันดับความรู้สึกของประชาชนต่อจังหวัดที่ อยู่แล้วเป็นสุขจากคนที่พักอาศัยอยู่ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ
ผลปรากฎว่า จังหวัดที่คนอยู่แล้วมีความสุขที่สุด คือจังหวัดสุพรรณบุรี ส่วนจังหวัดที่คนอยู่แล้วไม่มีความสุขที่สุด คือจังหวัดภูเก็ต ทั้ง ๆ ที่เรารู้ดีกันอยู่ว่า ภูเก็ตนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับของโลก คนที่ทำมาหากินและอาศัยอยู่ที่เมืองนี้น่าจะมีความสุขกับรายได้ที่เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ
แต่ผลวิจัยกลับออกมาในทางตรงกันข้าม
อันนี้เห็นจะจริงตรงที่เราได้มีโอกาสไปสัมผัสภูเก็ตหลายครั้ง และครั้งล่าสุดก็เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่ไปมีความรู้สึกว่า ถึงแม้จะเป็นสวรรค์บนดินของนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ แต่คนที่อยู่ในพื้นที่จริง ๆ คงไม่มีความสุขเท่าไร อันนี้เอาดัชนีความรู้สึกของตัวเองวัดล้วน ๆ
ความรู้สึกที่สัมผัสได้อย่างแรกก็คือ คนท้องถิ่นคงอยู่ได้ยากขึ้น ท่ามกลางกระแสเงินทุนที่ไหลบ่าเข้ามาในเมืองนี้ เพื่อหวังผลกำไรแบบเต็มกอบเต็มกำ ไม่รู้ว่าเขาจะรู้สึกกันรึเปล่านะ แต่สำหรับตัวเองรู้สึกได้ทันทีที่ไปถึง
มันเหมือนกับคนตัวเล็กกำลังจะไม่มีที่ยืนอย่างไรอย่างนั้น
เข้าใจเหมือนกันว่า นอกเหนือจากธุรกิจส่งออก อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นหนึ่งในรายได้หลักของประเทศไทย แต่ในแผนโปรโมตของการท่องเที่ยว ไม่ควรจะละเลยคนท้องถิ่นว่าเขาจะอยู่จะกินกันอย่างไรในวันที่เงินเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตคนเรามากขึ้นไปทุกที
ที่ว่าเห็นกับตาของตัวเอง ก็ตรงที่เราได้มีโอกาสเช่ารถขับ ลงไปในพื้นที่ ๆ ยังไม่ได้รับการพัฒนาบางส่วนในภูเก็ต เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ยังคงพยายาม (ต้องเรียกว่าพยายาม) ที่จะใช้ชีวิตอยู่ให้ได้ท่ามกลางกระแสทุนที่ไหลบ่าเข้ามา
กระต๊อบเล็ก ๆ หลังคามุงจาก กลางหุบเขา
คนแก่ที่ยังอยู่โยงเฝ้าบ้านกับเด็ก ๆ
ขณะที่คนหนุ่มสาวต้องทิ้งบ้าน เพื่อเข้าไปทำงานในโรงแรมโก้หรู
ไม่รู้เป็นอย่างไรไอ้โรงแรมใหญ่ ๆ ในเครือหรู ๆ ไม่เคยให้ความรู้สึกที่ดีกับตัวเองเลยสักนิด ตรงกันข้ามถ้าเลือกได้ อยากจะอยู่แบบกระต๊อบเล็ก ๆ เงียบ ๆ ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก ไอ้นี้คงแล้วแต่รสนิยมในการใช้ชีวิตของแต่ละคน
เก็บเรื่องเล่าเล็ก ๆ น้อย ๆ ขณะเดินทางมาแบ่งปัน ว่าคนเดินทางอย่างเราได้ไปเห็นอะไรมาบ้าง และรู้สึกกับมันอย่างไร อย่างที่เคยบอกอยู่เสมอว่า บางทีการเดินทางไม่ได้สำคัญที่จะไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง แต่น่าจะเป็นเรื่องราวระหว่างทางที่เราไปพบเจอ ที่จะช่วยให้เรามองโลกได้กว้างขึ้นก็เท่านั้นเอง

วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ซ้ายหรือขวา

เครดิตรูปจาก http://www.anattara.com/

หลายครั้งที่เราเคยขับรถอยู่บนท้องถนน โดยเฉพาะเวลาชั่วโมงเร่งด่วนในกรุงเทพ ฯ ถือว่าเป็นการฝึกความอดทนของตัวเองได้เป็นอย่างดี นอกจากจะต้องรู้จักอดทนอดกลั้นแล้ว ยังทำให้เข้าใจว่า เวลามักจะทำให้มนุษย์รอคอยเสมอ ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
รอคอยจังหวะเวลาให้มันเต้นได้ถูกที่ ถูกจังหวะ และถูกเวลา
ในบทสนทนาหลายครั้ง กับเพื่อนสนิทหลายคน เล่าถึงชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง มักจะพูดถึงเสมอว่า ถ้ารู้อย่างนี้ไม่ทำดีกว่า ถ้ารู้อย่างนั้นรออีกนิดดีกว่า คำว่า ถ้ารู้ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า มันมาตามจังหวะของมัน เราต่างหากที่เป็นคนตัดสินใจว่าจะจัดการกับมันอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น
การตัดสินใจได้เกิดขึ้น และแล้วเดินข้ามผ่านช่วงเวลาของการตัดสินใจมาแล้ว ดูเหมือนเราจะได้แต่นั่งดูผลของการกระทำของเรา ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ดีหรือไม่ดี อาจจะไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า หรืออาจจะใช้เวลาหลายปีที่เราอาจจะคิดได้ว่า ครั้งนั้นเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดหรือโง่อย่างไร
เรื่องฉลาดเรื่องโง่อันนี้เป็นเรื่องพูดยาก เพราะใครไม่มาเป็นเราไม่มีทางรู้ และเชื่อว่าเราทุกคนคงจะตัดสินใจแบบโง่บ้างฉลาดบ้างกันทั้งนั้น เราต่างที่จะเรียนรู้ในแบบของตัวเอง และถ้ามองให้ดี ทุกวันที่เราตื่นขึ้นมา เราตัดสินใจกันตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ ระดับก๋วยเตี๋ยวข้างทางชามละไม่กี่บาท จนกระทั่งถึงเรื่องใหญ่ ๆ ระดับที่มีผลกับเราไปตลอดทั้งชีวิตต่อการตัดสินใจครั้งนั้น
จะเรียกว่า การตัดสินใจซึมลึกอยู่ในสัญชาตญาณของเราก็คงไม่ผิดนัก
เมื่อคืนมานอนนึก ๆ ดูก่อนที่จะหลับไปเหมือนทุกคืน คิดเล่น ๆ ว่าถ้าเราตัดสินใจเดินเลี้ยวขวา แทนที่จะเลี้ยวซ้าย วันนี้เราจะเป็นอย่างไรบ้างนะ จะเรียกว่าฟุ้งซ่านก็คงใช่มั้ง เมื่อจิตไม่นิ่ง เมื่อคืนเลยพาลฝันแบบหลับ ๆ ตื่น ๆ ไปตลอดทั้งคืน
คนเรานี่ก็แปลก รู้ทั้งรู้ว่าจิตฟุ้งซ่านไม่ได้มีประโยชน์อะไร คิดไปก็เท่านั้น เรื่องราวต่าง ๆ ก็เดินทางมาถึงเวลานี้ ไม่มีใครสามารถนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งที่ผ่านมาได้ เมื่อนึกได้แบบนี้เมื่อเช้า ก็โล่งใจขึ้นมานิดหนึ่งว่า อย่างน้อยใจที่เต้นแบบผิดจังหวะ เริ่มกลับมาสู่โลกของความจริงอีกครั้งหนึ่ง
แล้วชีวิตก็เริ่มกลับเข้าสู่โหมดปกติ
เริ่มต้นด้วยการเขียนทูดูลิสต์ (to-do list) ซึ่งส่วนตัวเป็นสิ่งที่ช่วยเราได้มาก ว่าวันนี้เรามีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง เขียนมาเป็นข้อ ๆ ตามลำดับความสำคัญ เมื่อเขียนเสร็จก็เริ่มลงมือตามสเต็ปของมันไป
กลับมาเรื่องของการตัดสินใจกับการรอคอยอีกที ตามที่จั่วหัวคอลัมน์ไว้ข้างบน ตั้งใจจะบอกแค่ว่า บางครั้งการตัดสินใจกับบางอย่าง ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นตอนนี้เดี๋ยวนี้ การตัดสินใจบางเรื่อง เรารอคอยได้ เพียงแต่เราต้องใช้ความอดทนมากสักหน่อย
ฝึกความอดทนกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยขนาดนี้
คงไม่มีอะไรยากอีกแล้ว
ขอให้สนุกกับการใช้ชีวิต ในวันที่เรายังมีเรื่องให้ตัดสินใจและรอคอยอยู่ข้างหน้า