วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ความลับ

เครดิตรูปจาก http://www.geotripper.blogspot.com/

จะว่าไปชีวิตคนเราเป็นเรื่องลึกลับก็คงไม่ผิดนัก ในมุมมองที่ว่าเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราวันนี้ ทันทีที่เดินออกจากบ้าน ไม่มีใครรู้ว่าจะมีเรื่องดีหรือไม่ดีรอเราอยู่ พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เดือนหน้า ปีหน้า อีกหลาย ๆ ปี
ความที่มันเป็นเรื่องลึกลับนี่เอง ที่กระตุ้นต่อมอยากรู้ของคนเรานัก ทางที่จะหาคำตอบได้ง่ายและเร็วที่สุด แต่ไม่มีใครสามารถการันตีได้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่
ก็คือการไปหาหมอดู ที่เขียนแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในหมอดู แต่ให้เชื่อทุกอย่างกับสิ่งที่ใครบอกไม่รู้บอกเรามา เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้หนัก
จำได้ว่าเมื่ออายุเลขตัวเดียวก็ชอบฝันไปว่า โตขึ้นเราจะเป็นอะไรดี พอผ่านไปอีกสิบปีต่อมา จบการศึกษาปริญญาตรีแล้วก็คิดไปอีกว่า เราจะมีงานการที่ดีทำไหม พอเริ่มอายุเข้าเลขสาม ก็เริ่มถามตัวเองอีกครั้งว่า เราจะเดินต่อไปกับชีวิตอย่างไรดี เลขสี่ เลขห้า เลขหก มันมีเข้ามาให้เราได้คิดเรื่อย ๆ
จริง ๆ แล้วเรื่องลึกลับในชีวิตนนั้น จะว่ามันเป็นความลับหมดก็อาจจะพูดไม่ถูกนัก เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อถึงเวลาของมัน เรื่องต่าง ๆ มันก็จะค่อย ๆ ตีแผ่ออกมาตรงหน้าให้เราได้รู้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมก็เท่านั้นเอง
หลัง ๆ นี้ชอบนอนฟุ้งซ่าน เพราะชอบตื่นขึ้นมากลางดึกเป็นประจำ เวลาตีสี่เป็นเวลาที่ร่างกายโปรดปรานที่สุด พออายุมากขึ้น พอตื่นขึ้นมาแต่ละที กว่าจะหลับได้อีกครั้ง บางครั้งก็กินระยะเวลาจนรุ่งสาง
ที่ว่าชอบนอนฟุ้งซ่าน เพราะในขณะที่นอนหลับตา (แต่ใจไม่หลับ) ชอบนอนนับว่าเอ๊ะ! มีใครหายไปจากชีวิตเราบ้าง เพื่อนสนิทสมัยประถม เพื่อนข้างบ้านที่แต่ก่อนเจอหน้ากันทุกวัน คุณครู เพื่อนร่วมงาน คนรู้จัก และ ฯ ล ฯ
บางคนหายไปราวกับจะไม่ได้เจอกันอีกเลย ที่ว่าเป็นเรื่องแปลกคือ แต่ก่อนนั้นเราก็เจอกันได้ทุกวัน พอถึงเวลาก็เหมือนมีมือที่เรามองไม่เห็น ดึงคนนั้นคนนี้หายไปจากชีวิตเรา ไม่มีร่องรอยให้เราได้ระลึกถึงกันอีกต่อไป
กับคนบางคน ที่ตอนเด็กอาจจะเลยผ่านไปแบบไม่สนใจกัน พอเวลาผ่านไป 10 ปี 20 ปี ไม่น่าเชื่อว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก ด้วยเหตุผล ความบังเอิญ เรื่องของคนบนฟ้า โชคชะตา หรืออะไรก็แล้วแต่ กับบางคนกลับกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางชีวิตที่ดี แบบที่ตัวเราเองก็ไม่เคยคาดฝันมาก่อน
ความลับของชีวิตก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
คิดแล้วก็น่าตื่นเต้นอยู่เหมือนกันว่า อีก 10 ปีข้างหน้า ใครจะหายไปจากชีวิตเราบ้าง แล้วใครที่เราไม่รู้จัก หรือไม่ได้สนิทสนมกันมาจะเดินกลับเข้ามาในชีวิตเราอีกครั้ง
จริง ๆ แล้วก็อย่าไปซีเรียสอะไรกับมันมาก กับเรื่องความลับของชีวิตคนเราเลย เราเชื่อนะว่าทุกอย่างมีใครเขาขีดมาให้เราเดินไว้หมดแล้ว เมื่อถึงจังหวะและเวลาที่ใช่ ความลับเหล่านั้นก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป มันก็จะค่อย ๆ เปิดเผยออกมาให้เราเห็นตรงหน้า
แค่เมื่อถึงเวลา


วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

กำลังใจ

เครดิตรูปจาก www.propharmasuki.blogspot.com

ไม่รู้เป็นอย่างไรพักหลังนี้ ได้ยินข่าวคนเป็นมะเร็งบ่อยเสียยิ่งกว่าคนเป็นหวัดเสียอีก อาจจะเป็นช่วงอายุที่ใกล้ถึงหลักสี่ นอกจากจะไม่ได้ยินข่าวคราวเรื่องงานรื่นเริงแล้ว ส่วนใหญ่จะพบเจอเพื่อน ๆ ตามงานศพหรือไม่ก็ตามโรงพยาบาลต่าง ๆ
ไม่ใครเป็นอะไร ก็ญาติพี่น้อง เพื่อน ญาติของเพื่อน และ ฯ ล ฯ
จำได้ว่ากลับไปเมืองไทยหนที่แล้ว ประมาณ 3-4 หนจะต้องไปงานศพ หรือไม่ก็ต้องแวะเวียนผ่านเข้าไปโรงพยาบาลเป็นระยะ ๆ
เรื่องของคนเป็นมะเร็ง (ที่ดูเหมือนจะเป็นโรคฮิตยิ่งกว่าเป็นหวัดคัดจมูก) ใครไม่มาเป็นไม่รู้ว่ามันเสียขวัญกำลังใจขนาดไหน ทั้งตัวผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย จนกระทั่งล่าสุดเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่คนใกล้ตัวมาเยี่ยมที่แอลเอ ช่วงนั้นแฮปปี้กันสุด ๆ ก่อนกลับ 1 วันแม่ของคนใกล้ตัวโทรมาบอกว่า แม่อาจจะเป็นมะเร็ง
เล่นเอาซึมไปตาม ๆ กัน
เลยมานั่งพูดกันถึงเรื่องกำลังใจนี่เป็นสิ่งสำคัญ บางทีคนเราอาจจะตายเพราะไม่มีกำลังใจที่จะอยู่มากกว่าการเป็นมะเร็งจริง ๆ เสียอีก
เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นหลังจาก แม่ของคนใกล้ตัวมีตุ่มบวมใหญ่เกิดขึ้นในช่องปาก ประกอบกับเธอเป็นนางพยาบาลมาก่อน พอเห็นก้อนเนื้อนี้ทำให้รู้สึกว่าจำเป็นต้องรีบพบหมอด่วน เพราะประสบการณ์กำลังบอกเธอว่า ชีวิตเธออาจกำลังโดนคุกคามจากโรคท็อปฮิตนี้
ไม่ทันที่จะรอลูกสาวกลับเมืองไทย ตัวเองเลยไปหาหมอที่รู้จักกันให้ดูก้อนเนื้อเจ้าปัญหานี่ก่อน คุยกันแบบเปิดอกเพราะถือว่าเป็นเพื่อนกัน หมอเองพอเห็นแผลแล้ว ก็เลยฟันธงไปก่อนเลยว่า เขามั่นใจว่าประมาณ 50 เปอร์เซนต์อาจจะเป็นมะเร็ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องส่งไปให้หมอเฉพาะทางดูให้แน่ใจอีกครั้งหนึ่ง
เชื่อไหมว่า หลังจากแม่ได้ฟังข่าวร้ายนี้แล้ว แม่กลับกลายเป็นคนละคน จากแม่ที่เคยร่าเริง สนุกสนานกับการใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างคุ้มค้าที่สุด กลายเป็นคนซึม พูดน้อย บ่น ๆ ถึงขนาดว่าถ้าเป็นจริง ๆ แล้วแม่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
จริง ๆ แล้วตั้งแต่รับฟังข่าวทางโทรศัพท์ เราสองคนก็ช็อคไปสักพักใหญ่ หลังจากนั้นก็รวบรวมสติว่า อะไรจะเกิดมันคงต้องเกิด แทนที่จะมัวกลัว เราต้องหาความจริงและยืนยันจากหมอที่เชี่ยวชาญทางด้านโรคนี้ก่อนว่าแม่เป็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นเราจะรักษาหรือรับมือกับมันอย่างไร
ก่อนจะตื่นตระหนกกันมากไปกว่านี้ คนใกล้ตัวดูเหมือนจะมีสติมากว่าใครอื่น รีบโทรไปหาหมอเฉพาะทางที่จะส่งตัวแม่เข้าไปตรวจอย่างเร็วที่สุด เร็วที่สุดของเราคือ 5 โมงเย็นของวันศุกร์ที่ผ่านมา
วันนั้นเวลานั้น ช่วงรออยู่หน้าห้องตรวจ เป็นเวลาที่ทรมานที่สุดในชีวิต
แล้วความจริงก็เปิดเผยออกมา หลังจากคุณหมอตรวจแผลในช่องปากของแม่แล้ว ก็ยิ้มร่าและหัวเราะออกมาทันที พร้อมบอกกับตัวคนไข้เองว่า ผมมั่นใจว่าคุณไม่ได้เป็นมะเร็ง คุณเป็นแค่ต่อมน้ำลายอักเสบเท่านั้น
พอได้รับฟังจากปากหมอเท่านั้น ดูเหมือนว่าเราจะได้แม่คนเดิมกลับมาทันทีทันใด แม่กลับกลายเป็นคนร่าเริง ยิ้มแย้ม (บ่นเยอะ) พร้อมกับเอ่ยปากชวนลูกสาวไปหาอะไรกินกันหลังจากกินไม่ลงอยู่หลายวัน
เขียนมาถึงตรงนี้เลยอยากจะบอกว่า กำลังใจนี่เป็นสิ่งสำคัญ และหาซื้อกันไม่ได้ แม่อาจจะโชคดีกว่าคนอื่นที่ไม่ได้เป็น แต่สำหรับคนที่เป็นมะเร็งไม่ใช่ว่าคุณโชคร้ายกว่าใครอื่นเขา เราต้องคิดให้ได้ว่าเราจะอยู่อย่างไรต่อไป และต้องอยู่ให้ได้ดีอย่างไรมากกว่า
เขียนมาในวันที่คิดว่ากำลังใจที่เรามีให้กัน เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดในวันที่โรคภัยอาจจะกำลังมาเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

พูดกับฟัง

เครดิตรูปจาก http://www.edwin.sjfc.edu/

ถ้าสังเกตดูให้ดี โลกใบนี้ของเรามีคนอยู่หลากหลายประเภท มีประวัติความเป็นมาและนิสัยที่แตกต่างกัน อันนี้ย่อมต่างไปตามพื้นฐานของครอบครัว วิธีการมองโลก การศึกษา หรือแม้กระทั่งประสบการณ์ชีวิตที่แต่ละคนเคยผ่านมา
แต่ถ้าแบ่งโดยวิธีการใช้เสียงเป็นหลัก จะมีคนอยู่สองประเภทใหญ่ ๆ คือ คนชอบพูดกับคนชอบฟัง ลองมองดูให้ลึกเข้าไปอีก ในคนเหล่านี้
มีหลายคนชอบพูดแต่ไม่ชอบฟัง
และยังมีอีกหลายคนที่ชอบฟังมากกว่าพูด
เริ่มต้นง่าย ๆ จากการเดินออกไปแค่นอกบ้าน อันนี้ยังไม่นับรวมถึงคนที่อยู่ในบ้านร่วมกัน ที่แต่ละคนย่อมมีนิสัยชอบฟังและชอบพูดไม่เหมือนกัน เริ่มจากเราต้องเดินเข้าไปทำงานร้านอาหารตัวเองทุกวัน ทันทีที่เท้าเหยียบเข้าไปในร้าน ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้กับเสียงจ้อกแจ้กจอแจทั้งของคนทำงานและลูกค้า
นี่มั้งคงเป็นที่มาของคำว่า หูชากลับมาบ้านทุกครั้งไป
อาทิตย์ก่อน จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ ซึ่งปกติร้านอาหารวันเสาร์ที่นี่ถือเป็นวันชิลล์ ๆ วันหนึ่ง คือจะไม่ยุ่งมากแต่ก็จะไม่เงียบเหงาจนเกินไปนัก แต่เสาร์ที่ผ่านมาเป็นวันที่ผิดคาด เพราะลูกค้าเหมือนจะมายืนนัดรวมพลตั้งแต่ร้านยังไม่ทันเปิดดีด้วยซ้ำ มารู้เอาทีหลังว่าที่ยูซีแอลเอมีงานประมาณคืนสู่เหย้าอะไรทำนองนั้น
เราเข้าไปอีกทีคือเกือบ 6 โมงเย็น ถึงช่วงเวลานั้น ลองหลับตานึกภาพเสียงอึงอลปนอลหม่าน ลูกค้ายืนรออาหาร เสียงโทรศัพท์ดังแบบไม่ขาดสาย พนักงานรีบเก็บโต๊ะเพื่อต้อนรับลูกค้ารายใหม่ บรรยากาศในครัวยิ่งแล้วใหญ่
เพราะมันมีแต่เสียง เสียง และเสียง
อันนี้เป็นเหตุที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับเสียงที่เกิดขึ้น เพราะอย่างน้อย เสียงก็เป็นสื่ออย่างหนึ่งที่ทำให้เราสามารถสื่อสารกันรู้เรื่อง อาหารโต๊ะไหนยังไม่ได้ ออเดอร์เข้ามาผิดถูกอย่างไร แต่การที่เราพูดหรือแข่งกันพูด มันอาจจะไม่ได้มากับความรวดเร็วอย่างที่คาดหวังไว้
บางครั้งแทนที่เราจะพูด หรือใส่อารมณ์เข้าไปในงาน ลองหันกลับมาใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหวตามสุภาษิตจีนกันบ้างก็น่าจะดี ยิ่งช่วงที่ยุ่งที่สุด เราเองกลับเงียบที่สุดได้อย่างน่าประหลาดใจตัวเอง เพราะในความวุ่นวายนั้น อย่าลืมว่าเราต้องการใช้สมาธิอย่างสูง เพื่อที่จะให้อาหารออกไปเร็วที่สุด ดีที่สุด และถูกที่สุด
ทุกวันนี้เคล็ดลับง่าย ๆ ก่อนเข้าร้าน หรือเมื่อรู้ว่าจะต้องเข้าไปเผชิญกับเสียงเมื่อไหร่ จะต้องนั่งสวดมนต์ไปในรถโดยอัตโนมัติ บทสวดที่สวดประจำคือ อิติปิโส เท่าอายุบวกหนึ่ง ตามมาด้วยคาถาพระพิฆเณศ ค้นพบเอาเองว่า ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ทำให้ใจเรานิ่ง และพร้อมที่จะออกไปต่อสู้กับเสียงที่เข้ามากระทบทั้งหู ตา กาย ใจ และประสาทสัมผัส
ไม่มีใครบอกว่า คนพูดมากเป็นคนผิด และคนพูดน้อยเป็นคนถูก กับเรื่องบางอย่างในสถานการณ์นั้น ๆ  เราต้องรู้จักใช้สมองและสติคิดให้ไวและจัดการกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
เขียนถึงโลกของเสียงในวันสุขสันต์แบบธรรมดา ๆ และขอสวัสดีปีใหม่ไทยมายังแฟนคอลัมน์ทุกท่านด้วยคะ

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

ศิลปะของคนทำอาหาร

เครดิตรูปจาก http://www.idealsilver.com/

การทำอาหารเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง
เคยลองสังเกตดูเองหลาย ๆ ครั้งว่า ถ้าวันไหนเราอารมณ์ดีแบบชิลล์ ๆ วันนั้นต่อให้สูตรไหน อาหารนั้นยากแค่ไหน หรือแม้แต่ไม่เคยทำอาหารชนิดนั้นมาก่อน วันนั้นเราจะมีความตั้งใจกับการปรุงอาหารตรงหน้าเป็นพิเศษ
ความตั้งใจบวกกับอารมณ์คนทำที่แจ่มใส เชื่อไหมต่อให้อาหารที่ทำนั้นยากแค่ไหน มันก็จะออกมาไม่แย่จนเกินไปนัก
อันนี้เปรียบเทียบกับมาตรฐานของตัวเอง ที่ไม่ใช่คนปรุงอาหารที่เก่งมากนัก เมื่อมองไปคนรอบ ๆ ตัว ถ้าจะให้เทียบกับการขับรถ ก็น่าจะเป็นแค่มือใหม่หัดขับ
ที่บอกว่าการทำอาหารเป็นศิลปะ (อาจจะถึงชั้นสูง) อย่างหนึ่ง เพราะเป็นทักษะเฉพาะตัวที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง และอาจจะรวมถึงพรสวรรค์ของแต่ละบุคคล อาจจะเป็นเพราะว่า คงไม่มีใครสามารถจับพู่กันและสามารถวาดรูปออกมาได้ทุกคน หรือคงมีไม่กี่คนที่สามารถถ่ายรูปและถ่ายทอดอารมณ์ เรื่องราว ความรู้สึกอย่างมีชีวิตผ่านกระดาษอัดรูปธรรมดา ๆ
เราอาจจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น
และเราอาจจะไม่เห็นในสิ่งที่คนอื่นเห็น
นอกจากสิ่งเหล่านี้ แม่ชอบสอนเสมอว่า นอกจากอาหารจะต้องอร่อยลิ้นแล้ว จะต้องอร่อยตาด้วย คือต้องจัดออกมาให้อาหารจานนั้น ๆ มีความสวยงามตั้งแต่เราเอาไปวางที่โต๊ะลูกค้า อันนั้นจะเป็นความประทับใจอย่างแรกที่ลูกค้ามีกับอาหารของเรา
อาทิตย์นี้เล่าเรื่องความสวยงามของอาหาร เพราะว่ารู้สึกค่อย ๆ ตกหลุมรักการทำอาหารแบบช้า ๆ เนิบ ๆ มารู้ตัวอีกทีก็เหมือนจะถอนตัวไม่ขึ้น การทำอาหารเป็นศิลปะ แต่การทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารมันอาจจะคนละเรื่องกัน
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ที่อย่างไรเราก็คงหลีกไม่พ้นธุรกิจร้านอาหารของครอบครัว การกลับมาแอลเอคราวนี้ก็เลยเหมือนจะได้ฤกษ์ทำความเข้าใจกับระบบความคิดของตัวเองใหม่ พยายามจะเอาศิลปะกับธุรกิจควบคู่ไปด้วยกัน เพราะคงไม่มีใครปฎิเสธที่เราอย่างไรก็ต้องกินต้องใช้
พยายามจะทำให้มันเป็นแบบ คอม เม่อร์ เชี่ยว อาร์ตให้ได้ อย่างน้อยตัวเราเองก็มีความสุขในการเดินเข้าร้านทุกวัน เรื่องการบริหารร้านบริหารคนไม่ต้องพูดถึง ยิ่งคนมากยิ่งเรื่องเยอะ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็จะพยายามดึงความคิดของตัวเองให้มาอยู่ตรงกลาง เพื่อจะได้มีความสุขมากขึ้น ทุกข์ให้น้อยลง
ปีนี้เป็นอีกปีที่เศรษฐกิจสหรัฐ ฯ อ่อนปวกเปียก มีร้านอาหารหลายร้านทั้งฝรั่งและไทย ล้มหายตายจากกันไปก็เยอะ ร้านที่อยู่ต่อไปก็อยู่ได้ไม่ดีนัก มีหลายคนเริ่มพูดถึงการพัฒนาอาหารไทยให้ไปสู่ระดับสากล
ส่วนตัวคิดว่าการจะเดินไปให้ไกลถึงขนาดนั้น เราอาจจะต้องมาทบทวนบทบาทของตัวเองกันใหม่ ไม่ว่าจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ถามว่าทางภาครัฐเคยมีความคิดที่จะใส่อาหารไทยเป็นวาระแห่งชาติบ้างไหม? หรือทางฝากเอกชน ต้องถามกันว่ามีความตั้งใจจริงกันแค่ไหน ที่คงไม่ใช่แค่เปิดร้านในเมืองใหญ่ต่าง ๆ ทั่วโลกแล้วจะเป็นการจบภาระหน้าที่กันแค่นั้น
ก็บอกแล้วไงว่าอาหารเป็นทั้งศิลปะและธุรกิจ
ต้องทำให้แซ่บลิ้น และสวยงาม!