เครดิตรูปจาก http://www.lightstalkers.org/ |
คืนนั้นเรานัดแนะกันเป็นดิบดี ว่าจะต้องกลับไปประลองฝีมือความแม่นที่โต๊ะพูลกันเสียหน่อย หลังจากห่างหายจากกิจกรรมโปรดมาเป็นเวลาหลายเดือน และคืนนั้นก่อนออกจากบ้านเราไม่รู้เลยว่า ร้านอาหารร้านที่เราคุ้นเคยร้านนั้น เราจะต้องไปเจอกับใครหรืออะไร
ชีวิตบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึง…
แต่ทุกครั้งที่เราใส่รองเท้าเดินออกจากบ้าน…
มันมักจะมีเรื่องให้เราได้เรียนรู้อยู่เสมอ…
และครั้งนี้ก็เช่นกัน…
อย่าเพิ่งด่วนตกใจไป ไม่ได้มีอะไรถึงขั้นคอขาดบาดตาย ไม่ได้มีการเมาแล้วแซวกัน จนเลยไปเถิดประลองความแม่นอะไร แต่มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บังเอิญผ่านเข้ามาให้เราได้เห็นและรู้สึกว่า ชีวิตเรานี้ช่างโชคดีกระไร อยากได้อะไรก็ได้ อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ ไม่เหมือนอีกหลายชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่มีที่ว่างให้เขาได้เหยียบบนแผ่นดินอย่างเต็มภาคภูมิ
คืนนั้นเรากำลังสนุกสนานกับการเริ่มต้นเกมส์ จะว่าไปก็ยังเช้าอยู่มาก สำหรับเวลาของคนที่ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ สั่งอาหารมากินกันสองสามอย่าง ให้มันวางบนโต๊ะแบบไม่ให้น่าเกียจ คนที่มาเที่ยวยังบางตาอยู่มากในช่วงหัวค่ำอย่างคืนนี้
แต่นักเที่ยวเริ่มเข้ามาหนาแน่นขึ้นอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมื่อฝนเริ่มโปรยปรายลงมาทักทายคนนอนดึกอย่างเรา และดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เกมส์แรกของเราผ่านไปด้วยดี การเล่นพูลต้องมีมารยาทกันนิดนึง ตรงที่เราสามารถเล่นได้ 2-3 เกมส์ แต่จะเล่นต่อหลังจากนั้นไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครว่า ถ้าไม่มีโต๊ะอื่นมาเข้าคิวรออยู่ มันเป็นมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสังคมที่ต้องแบ่งกันเล่นเท่านั้นเอง
เราหยุดเกมส์หลังจากเกมส์ที่ 2 แต่เมื่อเริ่มนั่งโต๊ะได้ไม่นาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 50 ปี เขากลายเป็นจุดเด่นของร้านไปทันที ทุกสายตาเพ่งมองไปที่เขา นอกจากที่เขาจะแต่งตัวซอมซ่อแล้ว ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ เขาไม่มีมือทั้งสองข้าง เราแอบจ้องสายตาของคนอื่นทันที ว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อชายคนนั้นยกมือไหว้เพื่อขอรับบริจาค
ความรู้สึกที่อบอวลอยู่ในร้าน มันแรงจนทำให้เราจับความรู้สึกได้ว่า เขามองผู้ชายคนนั้นเหมือนตัวประหลาด ถ้าพูดให้หนักไปกว่านั้น หลายคนมองด้วยสายตาขยะแขยง
เรารู้ว่าผู้ชายคนนั้นคงรู้สึกได้…
อย่าว่าแต่เขาจะรู้สึกเลย…
เราเองขนาดไม่ใช่เป็นเขา…
ยังรู้สึกถึงรังสีที่แผ่ออกมาได้…
จะรอช้าอยู่ไย เรื่องราวชีวิตจริงกำลังตีแผ่อยู่ตรงหน้า เราสองคนเรียกเขาเข้ามาคุยว่าอยากได้อะไร วินาทีนั้นจะเป็นเงินหรืออาหาร เราพร้อมที่จะให้ อารมณ์ ณ เวลานั้นมันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่ได้เขียนเสแสร้งเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นมาในสายตาคนอ่าน
“ผมแค่อยากขึ้นไปร้องเพลง”
“แล้วใครจะบริจาคเท่าไหร่ผมยินดี”
“ผมขอแค่โอกาสให้ได้ขึ้นไปยืนร้องเพลงบนนั้น”
เขาคงหมายถึงเวทีเล็ก ๆ หน้าร้าน ที่นักร้องวัยรุ่นกำลังโซโล่เพลงอย่างเมามันส์
อืม! ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนแรก ความใจกว้างที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ชายคนนี้ได้เหยียบบนผืนดินที่เขาเกิด มันแทบไม่มีเลย นอกจากเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสามารถจะเจียดให้เขาได้ ก็ไม่ได้ช่วยให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้เลย
ที่ ๆ ให้ได้ก็คือกำลังใจแค่ว่า “พี่ ๆ ยังมีร้านอื่นแถว ๆ นี้อยู่เยอะแยะ พี่ลองดูนะ”
พูดไปทั้งที่รู้ว่า ความฝันของผู้ชายคนนี้มันริบหรี่ลดน้อยลงทุกที ๆ ว่าแล้วอยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง ให้พี่คนนี้มา live concert ดูสักคืน
เมื่อนั้นบทเพลงที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต คงจะได้ออกมาตีแผ่และเต้นเร่าอยู่ตรงหน้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น