วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทฤษฎี

เครดิตรูปจาก http://www.about-kmrb.blogspot.com/

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาค่อนข้างวุ่นวายสำหรับคนที่เป็นอาจารย์ทั้งหลาย เพราะโรงเรียนเพิ่งเปิดไปไม่กี่อาทิตย์ ก่อนนั้นเข้าใจแค่ว่าคงมีแต่นักเรียนที่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมตัวเพื่อไปโรงเรียน พอเปลี่ยนบทบาทมาเป็นอาจารย์ เลยเห็นว่าตัวอาจารย์มือใหม่เองก็วุ่นวายไม่ใช่น้อย
ทั้งวิชาที่จะสอน
กิจกรรมในห้องเรียน
การบ้าน
คิดกันแบบเคร่งเครียดในหมู่เพื่อนอาจารย์ด้วยกัน ว่าจะให้ลูกศิษย์เราได้รับความเพลิดเพลินในการเรียนอย่างไร โดยเขาไม่รู้สึกว่าเป็นการยัดเยียดอะไรเข้าไปในสมองเขามากจนเกินไป
แล้วเลยเพิ่งมาเข้าใจว่า ตัวเองเป็นคนไม่ชอบทฤษฎีเอามาก ๆ แล้วจำเป็นต้องพาร่างกายไปสอนทฤษฎีอะไรก็ไม่รู้ ทำให้รู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งมีความหนักใจมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องพยายามทำให้ไอ้ภาษาวิชาการนั้น กลายเป็นภาษาที่เราสามารถคุยให้นักเรียนฟังได้ แบบไม่อยากเห็นนักเรียนนั่งทำหน้าเหวอกันในห้องเลคเชอร์
ยอมรับว่ายากมาก
และมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ในการเตรียมตัวไปสอน
เมื่อก่อนสมัยเป็นนิสิตจุฬา ฯ มันมาเป็นวูบ ๆ นะขณะที่นั่งอยู่ในห้องเลคเชอร์ ถามคำถามในใจกับตัวเองมาตลอดว่า ไอ้ทฤษฎีที่อาจารย์พูดปาว ๆ อยู่หน้าห้อง เหมือนอะไรที่มันไกลเกินเอื้อม ไม่รู้จัก แถมยังคิดไปว่ามันเป็นทฤษฎีที่อธิบายออกมาเป็นภาษาคนไม่ได้
คือดูเหมือนอาจารย์จะอธิบายด้วยภาษาต่างดาวอะไรประมาณนั้น
พอพาลไม่เข้าใจ ก็เลยรู้สึกว่าไม่สนใจที่จะเรียนรู้ รู้สึกว่าความรู้กำลังรอเราอยู่นอกห้องเรียนมากกว่า แต่พอเวลาผ่านไป เราเลยเพิ่งเข้าใจว่า เราเข้าใจผิด ทุกทฤษฎีมันมีคำอธิบายของมัน เพียงแต่น่าเสียดายตรงที่ว่า เจ้าของทฤษฎีไม่พยายามที่จะเขียนอะไรที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย หรืออาจารย์ผู้สอนเองล้มเหลวในการอธิบายคอนเซปของแต่ละทฤษฎีนั้น ๆ
ว่าแล้วจะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไปไย
ไหน ๆ เราก็มาเป็นอาจารย์แล้ว
จะให้เด็กรุ่นใหม่นึกค่อนขอดลับหลังว่า
อาจารย์พูดไม่รู้เรื่องก็ดูจะเป็นการดูถูกความสามารถกันมากเกินไปหน่อย
จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ในโรงเรียน หรือใช้ชีวิตนอกรั้วโรงเรียน เราวนเวียนกับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งอยู่ตลอด เพียงแต่เราไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ว่าทฤษฎีอะไรเข้ามามีบทบาทกับเราช่วงไหนต่างหาก
การเป็นคนมีทฤษฎีในการใช้ชีวิตบ้าง ทำให้เราเดินไม่หลงทาง ไม่เสียเวลากับอะไรที่ไม่ควรจะเสีย โอ้! อันนี้พูดเหมือนกับไม่ใช่ตัวเอง เพราะเท่าที่ใช้ชีวิตมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ค่อยได้ใช้สมองมากกว่าหัวใจตัวเอง
และเพราะมันเป็นอย่างนี้เอง ทำให้รู้สึกการดำเนินชีวิตในบางครั้งของเราเหมือนคนตาบอด เดินสะเปะสะปะไม่ตรงทาง ถามตัวเองก็ยังตอบไม่ได้ว่า ทำไมชีวิตช่วงนั้นถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมชีวิตช่วงนี้เราไม่ตัดสินใจอย่างนี้
การใช้ทฤษฎีเป็นหลักการที่ดี แต่ก็อย่าลืมถามความรู้สึกของตัวเองด้วย
เอาตรรกะกับหัวใจแล้วหารสองท่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตเราที่สุด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น