วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2555

ABAC event


Public relation students of Assumption University (ABAC) are joining forces to help out 6 non-profit organizations as part of their “Where Wealth Can Help” project.
With the project having been carried out for months, the students are set to have their final showcase by jointly organizing a special exhibition fair event called “A Journey of Fulfillment” this week from March 16 to March 18, 2012, at the Crystal Design Center (CDC).
The purpose of this event is to exhibit the overall performance of public relations campaigns for 6 non-profit organizations. Those are Ban Bangkae, Fatima Center, Foundation for Rehabilitation and Development of Children and Family (FORDEC), Paper Ranger, Rabbit in the Moon, and Yaowawit school.
Speaking at a press conference, Asst. Prof. Dr. Bu-nga Chaisuwan, said that her students have been working so hard to get to apply the theories that they have learned for almost 4 years into real practice by conducting a whole PR campaign.
“And we thought, why not do it for non-profit organizations to give something back to the world community at the same time,” she added.
The second day of the event, on March 17, will be a fair, where different booths will be showcased in different themes with a variety of activities that fit with the campaigns.
Visitors will have a chance to see the celebrity appearances of Singto Numchock, Alex Randell, Chef Mee, and more, live on stage for fun activities such as interviews, mini concerts and a cooking show.

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำรั่ว

ต้นเหตุคือฉัน
เช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแบบไม่เร่งรีบ (ตามสไตล์คนใช้ชีวิตแบบช้า ๆ) อาการท้องร้องบนเตียง ทำให้ต้องฝืนลุกขึ้นมาจากที่นอน เดินลงบันไดตรงเข้าสู่ห้องครัวทันที กำลังเพลิดเพลินกับการเปิดตู้เย็น ว่าจะหาอะไรที่เหลือ ๆ มาเป็นอาหารมื้อเช้าได้บ้าง
ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงน้ำหยด เท้าข้างหนึ่งก็เหยียบกับน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น อาการติดตามมาคือ จ้องมองที่พื้นแล้วมองไล่ขึ้นไปจากรอยที่น้ำหยด มองขึ้นไปบนเพดานแล้วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง พร้อมกับบ่นกระปอดกระแปดปนน้อยใจว่า
อยู่บ้านไหน น้ำรั่วบ้านนั้น
การทำบ้านไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ช่างหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร ช่างที่มีคุณภาพอันนี้ต้องคิดหนัก เพราะเงินในกระเป๋ามีไม่พอกับงบประมาณที่ตั้งไว้
นอกจากช่างดี ๆ ที่หายากแล้ว เราต้องเผชิญกับของที่ขาดตลาด เพราะช่วงนี้ยีงคงเป็นช่วงซ่อมแซมบ้านของคนกรุงเทพ ฯ อยากได้อะไรไม่ใช่จะหากันได้ง่าย ๆ เพราะถ้าขาดตลาดแล้ว ทางร้านบอกเลยว่าผลิตไม่ทันจริง ๆ กว่าจะมาคงหลายเดือน
โจทย์ข้อที่ 1 คือ ช่างหายาก
โจทย์ข้อที่ 2 คือ ของหายาก หรือบางทีก็ขาดตลาด
โจทย์ข้อที่ 3 คือ งบประมาณจำกัด
บอกกับตัวเองและน้องสาวว่า เราลองมาทำแบบบ้าน ๆ ดูสักตั้ง เอาคนของเราเข้าไปทำเอง คนของเราหมายถึง ลูกน้องที่ร้านอาหารของเราเอง นึกออกแล้วใช่มั้ยคะว่า หน้าที่หลักของเขาคือการทำอาหาร แต่ด้วยที่มีพื้นฐานทางช่างแบบงู ๆ ปลา ๆ  ก็ตกลงกันเอาเองว่า
เราต่างต้องช่วยกันและกัน
วันนั้นด้วยอารามตกใจ เพราะน้ำหยดลงจากฝ้าไม่หยุด จนต้องโทรหาน้องสาวตามช่างสารพัดนึก ที่มีชื่อแบบนุ่มนวลว่า สาทรมาด่วนเลย เพราะกลัวว่าฝ้ามันจะอุ้มน้ำไม่ไหวจนพังถล่มลงมา
น้ำหยดลงจากฝ้า อย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ เพราะจากประสบการณ์ที่ว่าไอ้คนอเมริกันสร้างบ้านแบบคุณภาพดีแล้ว คืนนั้นจำได้ว่า นอนอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ที่แอลเอ หลังจากฝนตกติดกันมาสามวัน นอนอยู่ดี ๆ ได้ยินเสียงดังโครมในห้องครัว ตอนแรกตกใจเพราะนึกว่าแผ่นดินไหว แต่พอเหลือบตามองไปที่ห้องครัว แล้วแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
น้ำถล่มห้องครัวกลางดึกไปเรียบร้อย
เรื่องของน้ำมันน่ากลัวแบบนี้เอง
วันนั้นช่างสาทรมา เปิด ๆ ส่อง ๆ ดูฝ้า รู้ว่าน้ำหยดแน่แต่ไม่รู้ว่ามาจากไหน ใช้เซนส์ตัวเองทันทีว่า คงต้องมาจากห้องน้ำชั้น 2 ที่เรากำลังซ่อมแซมอยู่แน่ ๆ เพราะตำแหน่งห้องครัวกับห้องน้ำตรงกันพอดิบพอดี คุยกันสักพัก เราสองคนตัดสินใจลองเสียงทุบกระเบื้องใหม่ตรงผนังดู
เป็นโชคดีที่เราทุบกระเบื้องไม่กี่แผ่น เราก็เจอสาเหตุของน้ำรั่วนั้นทันที
ช่างสาทรลืมพันสก็อตเทปกันซึมจากท่อน้ำ
แก้ไขเสร็จสรรพ น้ำก็หยุดลงมาภายในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
และแล้วมันก็ผ่านไป
อาทิตย์หน้าถึงคิวทุบบ้านในห้องเก็บของ เพราะอาบน้ำจากชั้น 3 ทีไร จะมีน้ำนองออกมาบนพื้นชั้นล่างทุกที และแน่นอนครั้งนี้กับช่างสาทรคนเดิม ปรึกษากันแล้วตัดสินใจว่าทุบแน่ พร้อมกันนั้นสาทรก็หันมาบอกเบา ๆ ว่า
พี่อย่าลืมช่วยผมด้วย
ไม่รู้ใครจะช่วยใครงานนี้แหละ จะหมู่หรือจ่า ถ้ามีอะไรสนุก ๆ จะกลับมาเล่าให้ฟังอีกนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อตกอยู่ในความมืด


วันเป็นวันว่างกลางสัปดาห์ ท้องฟ้ามืดครื้ม อากาศขมุกขมัว คล้าย ๆ ฝนกำลังจะเริ่มโปรยปรายลงมา

เวลาเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ตัดสินใจเดินทางขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเข้าเมือง

สถานที่มุ่งหน้าตรงไปที่จามจุรีแสควร์ เพื่อเยี่ยมชมนิทรรศการ บทเรียนในความมืด หรือ Dialogue in the Dark กินพื้นที่ประมาณ 600 ตารางเมตร ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เป็นช่วงวัน, เวลา, และสถานที่ ๆ ทำให้เรารู้สึกเต็มได้อีกครั้งสำหรับการกลับมาเยี่ยมชม Dialogue in the Dark ที่เมืองไทย หลังจากได้เคยไปร่วมแชร์ประสบการณ์กับนิทรรศการแบบเดียวกัน แต่เป็นของต้นฉบับที่เราบินไปสัมผัสด้วยตัวเองถึงเมืองฮัมบูรก์ ประเทศเยอรมัน

แม้ว่าจะตั้งอยู่คนละประเทศ แต่ Dialogue in the Dark มีแนวทางนำเสนอเหมือนกันทั่วโลก คือจะเป็นห้องมืดสนิท และจำลองสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตของคนตาบอด เมื่อพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ประสาทสัมผัสอย่างอื่น เช่น หู, จมูก, การสัมผัส, รส หรือแม้กระทั่งกลิ่นจะถูกนำมาใช้แทนที่

คนตาดีอย่างเรา จะเหมือนคนตาบอดชั่วคราว เมื่อก้าวเท้าเข้าไปภายในห้องที่มืดสนิทแห่งนี้ และจะมีไกด์นำทาง ที่ถึงแม้ว่าสายตาเขาจะมองไม่เห็น แต่เขากำลังบอกกับพวกเรากลาย ๆ ว่า ประสาทสัมผัสอย่างอื่นของเขากลับมาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม จริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ต้องพึ่งพาพวกเขาในห้องมืดที่นี่ตลอดระยะเวลา  1 ชั่วโมงของการเยียมชม

ส่วนตัวแล้วรู้สึกประทับใจกับ Dialogue in the Dark มาก ครั้งแรกเป็นการแนะนำชักชวนของพี่จูน เพื่อนรุ่นพี่ที่สนิทตอนที่เราไปเที่ยวที่เยอรมัน ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นช่วงที่รู้สึกชีวิตเหมือนจะหลงทางไปมา เหมือนคนไม่มีหลัก เหนื่อย ๆ ท้อ ๆ กับการเดินต่อ

แต่แทบไม่น่าเชื่อ (ตามคำแนะนำของพี่จูน) ว่าแค่เวลาเพียง 1 ชั่วโมงที่เราเข้าไปอยู่ในห้องที่เราไม่สามารถมองอะไรเห็นเลย มันมีเพียงแค่ใจที่เปิดกว้างเท่านั้น ที่จะต้องยอมรับกับสิ่งที่มันเกิดขึ้น บางครั้งการที่เรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่า เราจะเดินชนสิ่งของหรือวัตถุตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องใช้ประสาทสัมผัสอย่างอื่นเข้ามาทำหน้าที่นำทางเราแทน

และเชื่อว่าทุกคนที่มีโอกาสไปเยี่ยมชมนิทรรศการนี้

คงจะเชื่อแล้วว่า

การที่เรามองไม่เห็น

ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องล้มลุกคลกคลานไปเสียทุกครั้ง

เพียงแค่ลองเปิดใจให้กว้าง แล้วเราจะรู้ว่าปัญหาและอุปสรรคทุกอย่างมันมีทางไปของมัน พระเจ้าสร้างเราให้แข็งแรง และพระองค์เองคงจะส่งบททดสอบยากบ้างง่ายบ้างมาให้เราอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่เราต้องรู้จักอดทนรอคอย, มีสติ, และค่อย ๆ เดินก้าวข้ามผ่านมันไป

สำหรับการเที่ยวชม Dialogue in the Dark ครั้งนี้ (ตามคำแนะนำของพี่จูนเช่นเคย) ถือเป็นการชิมลางก่อนจะพานักเรียนของตัวเองมาในอาทิตย์หน้า

และก็ยังคงรู้สึกถึงความเต็มอิ่มทางความรู้สึกอีกครั้ง แม้ว่ารูปแบบหรือลักษณะการแสดงนิทรรศการจะปรับเปลี่ยนไปบ้างตามแต่ละประเทศ แต่รวม ๆ แล้ว แนวความคิดที่นำเสนอหรือสิ่งที่อยากให้เราได้สัมผัสก็ยังอยู่ครบถ้วนไม่ได้หายไปไหน

แนะนำให้ไปดูกันถ้าใครอยู่กรุงเทพ ฯ ตอนนี้

อย่างน้อยจะทำให้เรารู้ว่า

ถึงแม้ชีวิตของเราจะแตกต่างกัน

แต่เราก็สามารถเข้าใจกันและกันได้

ถ้าเราลองเปิดใจให้กว้าง



วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

ความกล้า

เครดิตรูปจาก http://randomthoughtsonlifeblog.com

วันนั้นเราขับรถออกจากปากซอยบ้านตามปกติ ออกตามทางเรื่อยมาจนถึงหน้าปากซอย ข้างหน้าบ้านเป็นถนน 8 เลน ค่อนข้างใหญ่พอสมควรที่จะวิ่งได้ฉิว ๆ ช่วงเวลาไม่เร่งด่วน เรากะเวลาเข้าออกแบบคนทำงานเข้าออฟฟิศกันหมดแล้ว คิดว่าจะต้องออกไปเจอถนนโล่งพอจะขับให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้อย่างสบาย ๆ

กลับรถออกมา เพื่อขับขึ้นไปเพื่อขึ้นทางด่วน อารมณ์คนขับเป็นปกติ เปิดเพลงชิลล์ ๆ แอร์ในรถกำลังเย็นสบาย แล้วก็ต้องเหยียบเบรคแทบไม่ทัน จากถนนคิดว่าโล่งกลายเป็นติดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ตัดสินใจตีรถออกทางขวา แล้วภาพเคยชินก็ปรากฎอยู่ตรงหน้า ไม่รถเมล์ก็รถตู้ ไม่รถตู้ก็รถแท๊กซี่ ไม่รถแท็กซีก็รถยนต์ส่วนตัว ที่คอยเปิดไฟฉุกเฉิน ซึ่งกินพื้นที่บนถนนไปถึง 3 ใน 4 เลน

เป็นภาพที่พยายามบอกตัวเองว่า

ยังไม่ชินอีกหรือ

น่าจะชินกับสภาพแบบนี้ในกรุงเทพ ฯ ได้แล้ว

แต่ก็ตอบตัวเองได้ว่า ยังไม่ชินทุกที

มันพาลทำให้หงุดหงิดทุกครั้งที่ต้องเจอกับคนขับรถแบบเหมือนข้าเป็นคนสร้างถนนขึ้นมาเอง

พอพาลหงุดหงิด ก็ต้องพูดกับตัวเองว่า เอาน่าหงุดหงิดไปก็ไม่ได้อะไร มันเป็นเพียงแต่สภาพที่เราต้องยอมรับ แต่อยู่มาวันนี้ทำให้ฉุกคิดได้ว่า มันไม่ควรจะเป็นเรื่องที่เคยชิน แต่มันน่าจะเป็นเรื่องของความรับผิดชอบของทุกคนกับถนนที่เราต้องแบ่งกันใช้มากกว่า

เรื่องแบบนี้บางคนเห็นว่าเป็นเรื่องเล็ก เพราะกับนิสัยคนไทยอะไรก็ได้ ยอม ๆ กันไป แต่เรื่องกฎระเบียบวินัยง่าย ๆ แบบนี้ เราควรจะต้องทำกันให้ได้ การฝึกตัวเองให้เป็นคนมีระเบียบวินัย หัดเคารพในกฎกติกา เป็นปัจจัยสำคัญให้ประเทศเราเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง

พูดถึงเรื่องนี้ แล้วทำให้นึกถึงเรื่องการตรงต่อเวลาของคนไทย วัดเอาเองจากเด็กนักเรียนที่ตัวเองสอนอยู่, คนที่เราต้องนัดพบเจอเพื่อพูดคุยธุระ, การตรงต่อเวลาในการเข้างานของลูกน้องที่ร้าน ยอมรับว่า

บางครั้งก็ทำให้หงุดหงิดเหมือนกัน เพราะตัวเองเป็นคนถูกเทรนมาให้ตรงต่อเวลา ยิ่งนัดไหนเป็นแมทช์สำคัญถึงกับวางแผนล่วงหน้าเอาไว้นาน ๆ หรือบางทีตัวเองก็ยอมเป็นฝ่ายไปก่อนเวลา เพื่อจะได้ไม่พลาดนัดครั้งนี้

แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่ชอบมากระทบโสตประสาทเราบ่อย ๆ ว่า

ใคร ๆ เขาก็มาสายกัน

ใคร ๆ เขาก็ส่งงานไม่ตรงเวลากันทั้งนั้น

คำว่าใคร ๆ นี้คงไม่ได้รวมหมายถึงเรา เพราะเป็นคนเป๊ะมาตั้งแต่เด็ก เรื่องผิดเวลานัดนั้นจะเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ๆ ถ้าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย

ทั้งนี้ไม่ได้มาเขียนไว้เพื่อชมตัวเอง เพียงแต่แค่รู้สึกว่าคนในประเทศต้องมีระเบียบวินัยก่อน ประเทศชาติถึงจะเจริญได้ ช่วยกันทำคนละเล็กคนละน้อย เมื่อรวมกันมันจะเหมือนเป็นคลื่นลูกใหญ่ พัดพาหรือหันเหสังคมของเราให้เดินไปบนทางที่แข็งแรงมากขึ้น

กล้าที่จะคิดแตกต่าง

กล้าที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง

และกล้าที่จะมั่นคงในจุดยืนของตัวเอง

ความกล้าที่จะคิดต่าง และความกล้าที่จะแหกกฎในสิ่งที่คนอื่นเขาทำ ๆ มา ไม่เพียงแต่จะทำให้คลื่นไม่กลายเป็นเพียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง แต่จะเป็นคลื่นที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ในสถานที่ ๆ เราใช้ชีวิตอยู่ ณ ตรงนั้น





ครูต้นแบบ



รากฐานของการพัฒนาประเทศ ล้วนเกิดมาจากการศึกษาของคนในชาติแทบทั้งนั้น สมการหลักของการศึกษาก็น่าจะแบ่งออกเป็น 3 กลไกหลัก ๆ คือ หนึ่ง นักเรียน, สอง ครูบาอาจารย์, และสาม นโยบายการศึกษาของรัฐบาล

เคยผ่านชีวิตการเป็นนักเรียนมาแล้ว ประสบการณ์บอกว่ามีครูอยู่ไม่กี่คน ที่ถือว่าเป็นครูที่เป็นครู ทั้งสอนทั้งเข้าใจในสิ่งที่เราคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนในห้องเรียน หรือกิจกรรมนอกห้องเรียน มาวันนี้ได้เป็นครูกับเขาบ้าง ก็พยายามที่จะสอนให้เด็กได้สนุกกับการเรียน ไม่ซีเรียสหรือไม่เข้มจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ปล่อยจนทำให้เด็กเดินออกไปนอกห้องเรียนด้วยหัวสมองที่ว่างเปล่า

ถ้าจะถามว่าใครเป็นคุณครูฮีโร่ และเป็นต้นแบบที่อยู่ในใจเรามาตลอด คงจะตอบได้ทันทีว่าครูนั้นชื่อ ครูคีตติ้ง เป็นครูที่ไม่ได้มีอยู่ในชีวิตจริง แต่กลับไปมีบทบาทในแผ่นฟิล์มเรื่อง Dead Poet Society เป็นหนังที่ Robin Williamsแสดงเป็นมิสเตอร์คีตติ้งของเด็ก ๆ หนังเรื่องนี้ถ้าให้เดาน่าจะเป็นหนังเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ถ้าใครยังไม่ได้ดู ขอแนะนำเลย โดยเฉพาะคนที่เป็นครูบาอาจารย์ว่าเราจะเข้าใจและเรียนรู้ไปกับเด็กได้อย่างไร

จริง ๆ แล้วคงจะมีหนังในดวงใจไม่กี่เรื่อง ที่เราสามารถดูย้อนซ้ำได้บ่อย ๆ แต่แปลกหนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนั้น เพราะดูทีไรรู้สึกว่าอิ่มเอิบใจไปเสียทุกครั้งไป คงจะเป็นเรื่องของการอิ่มใจไปกับบทภาพยนตร์, นักแสดง, และคำพูดที่ถ่ายทอดออกมาผ่านตัวละครทุกตัวจากมุมมองของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ยังจำคำพูดบางคำที่ดูเหมือนจะเข้ามีอิทธิพลกับการใช้ชีวิตของเราจนถึงปัจจุบันนี้ไม่มากก็น้อย อย่างเช่นตอนที่ครูคีตติ้งสอนเด็กในห้องเรียนเกี่ยวกับวิชากวีว่า

"We don't read and write poetry because it's cute.
 We read and write poetry because we are members of the human race.
 And the human race is filled with passion.
 And medicine, law, business, engineering, 
 these are noble pursuits and necessary to sustain life.
 But poetry, beauty, romance, love, these are what we stay alive for.

ทุกวันนี้บทบาทชีวิตของตัวเองที่เปลี่ยนไป ได้จับพลัดจับผลูเป็นครูบาอาจารย์กับเขาบ้าง จะรู้สึกดีใจทุกครั้งถ้าเด็กรู้สึกสนุกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องเรียน หรือบางวันก็รู้สึกแย่ถ้าวันนั้นรู้สึกเด็กไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เราคุยกันในห้องความรู้สึกแบบนี้คงมีเด็กคนไหนกล้าเดินเข้ามาบอก แต่สิ่งเหล่านี้เราสามารถรู้สึกมันได้เอง
พยายามบอกกับนักเรียนตัวเองอยู่เสมอว่า อยากจะทำอะไร อยากจะเรียนอะไร ขอให้บอกอาจารย์ ๆ จะพยายามทำให้พวกเรามีความสุขทุกครั้งที่เราได้เจอกัน เป็นการแบ่งปันความรู้และได้เรียนรู้ทั้งจากครูสู่นักเรียน และจากนักเรียนสู่ครู เชื่อว่าไม่มีใครรู้เรื่องไปหมดเสียทุกอย่าง บอกกับนักเรียนตลอดว่า ถ้าอาจารย์ไม่รู้ อาจารย์จะไปค้นคว้าหามาให้
และสิ่งที่ย้ำและเน้นอยู่เสมอว่า อย่าไปซีเรียสจริงจังกับเล็คเชอร์มากนัก หรืออย่าใช้เวลาทั้งวันกับการอ่านหนังสือเรียน โลกข้างนอกยังมีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเยอะ การได้ออกไปเที่ยว, การได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ, หรือแม้กระทั่งการใช้เวลาอยู่กับกิจกรรมน้อกห้องเรียน สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นครูในชีวิตของเราทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะพยายามสอนให้เขาแบ่งเวลาให้เป็น บาลานซ์ชีวิตตัวเองให้ได้ แล้วทุกอย่างก็จะเดินไปตามจังหวะของมัน
เขียนบทความชิ้นนี้ในวันที่ 16 มกราคม ซึ่งถือเป็นวันครูของประเทศไทย แล้วอยู่ดี ๆ ก็นึกถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ว่าแล้วคงไปค้นกรุหนังเก่ามาเปิดดูอีกรอบ เพราะดูเหมือนเสียงบทสุดท้ายของตอนจบจะดังกึกก้องสะท้อนอยู่ในความทรงจำไปมา ตอนที่นักเรียนต่างยืนขึ้นบนโต๊ะเพื่อแสดงความเคารพครูคีตติ้งครั้งสุดท้ายว่า
“O captain, my captain”
ส่งความปรารถนาดีมาให้ในวันครูนี้ด้วยคะ สำหรับทุกคนที่กำลังสนุกสนานกับการเรียนรู้ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง


วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

เรียนรู้



การเรียนรู้นอกห้องเรียน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลาในชีวิตของคนเรา ไม่ใช่ว่าจบจากโรงเรียน, ได้รับปริญญาแล้วจะหมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้อะไรอีก เพราะถ้าเป็นแบบนั้น คงเหมือนกับเราได้ย้ำอยู่กับที่ หรือไม่ก็ถอยหลังเข้าคลอง 

บอกกับนักเรียนของตัวเองอยู่เสมอว่า การเรียนในห้องเรียนเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตมหาวิทยาลัย อย่าเอาชีวิตไปทิ้งกับมันทั้งหมด จริง ๆ แล้วมันยังมีอะไรให้เราเรียนรู้อีกมากภายนอกห้องเรียน และที่สำคัญอย่าไปซีเรียสกับเกรดหรือคะแนนมากจนกลายเป็นวิตกจริต 

วันนี้ที่เราเรื่องการเรียนรู้ เพราะดูเหมือนว่ามันมีอะไรที่ท้าทายเข้ามาทดสอบเราตลอดเวลา จะหลบจะหลีกอย่างไรบางทีก็หนีไม่พ้น บางทีการเรียนรู้ ถ้าเราเริ่มจากสิ่งที่เราสนใจ, จำเป็นต้องทำ, มีความรักที่จะรู้, อันนั้นจะทำให้เราเรียนรู้ได้เร็วได้อย่างไม่น่าเชื่อ

เร็ว ๆ นี้เริ่มทำห้องใหม่ที่บ้าน เริ่มตั้งแต่ทุบห้องน้ำ, รื้อของเก่าออก, คิดเองทำเองกัน 2 คนกับคนใกล้ตัว เรามีความฝันในหัวมาขาย มีช่างคู่ใจมาเป็นคนทำความฝันออกมาให้เราจับต้องได้ ต่างคนต่างลองผิดลองถูก ใช้ความรู้และประสบการณ์ที่ต่างคนต่างมีมาคุยกัน 

การเรียนรู้จึงเริ่มจากตรงนั้น…

จากตรงที่เราเองก็ไม่เคยเป็นช่าง ไม่รู้หรอกว่าอันนี้ทำได้ อันนั้นทำยาก หรือบางอันนั้นทำไม่ได้เลย ความรู้ด้านช่างของเราเท่าหางอึ่ง เท่าที่ทำได้ก็อาศัยถามคนอื่นบ้าง, ค้นคว้าเอาจากกูเกิลบ้าง, อาศัยออกไปดูงานคนอื่นบ้าง, ถ่ายภาพเก็บเอาไว้เพื่อที่จะได้กลับมาอธิบายกับช่างถูกบ้าง…

ถามว่าสนุกไหม? 

สนุกนะกับการได้ทำอะไรใหม่ ๆ แต่ก็มีความกังวลแอบซ่อนอยู่นิด ๆ ประมาณว่าเอ๊ะ! สีนี้มันแรงไปไหม, มันจะไปกันได้กับสีอื่นไหม, วัสดุที่ใช้เหมาะกับเนื้องานหรือยัง, อะไรประมาณเนี้ยะ 

แต่เชื่อไหมเมื่อถึงเวลา หลังจากที่เราค้นคว้าหาความรู้ ประกอบกับประสบการณ์ของช่างแล้วเอามาหารกัน ถึงเวลาคำตอบของมันจะมาเองว่าเราจะเอาแบบไหน เสน่ห์ของการทำบ้านมันคงอยู่ที่ตรงนี้มั้ง

อย่างตอนแรก ๆ เราบอกกับช่าง “คุณประยูร” ว่า อยากทำผนังแบบปูนขัดมันแล้วผสมสีฝุ่นสีเหลืองลงไป คุณประยูรทำหน้าปูเลี่ยน ๆ ถามคำถามแรกว่า 

“แน่ใจหรอ” 

พร้อมกันนั้นได้มีคำถามมาให้เราลองตอบมากมาย สรุปได้ใจความว่า

“งานแบบนี้มันงานศิลปะนี่น่า”

แหม คุณประยูรช่างสรุปได้เร็วดีแท้ ช่างยอมรับกับเราตรง ๆ ว่า พี่ชายของเราก็เคยพยายามจะลองทำมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่โครงการณ์ต้องพับไป เพราะทำออกมาแล้วไม่ได้อย่างที่ใจคิด แถมยังมีคำถามจากคุณประยูรว่า “ทำไมต้องปูนเปลือย”

ตอบไวเท่าความคิด ก็ศิลปะมักจะมาตอนที่เงินในกระเป๋าแฟบไงเล่า!!!

จริง ๆ แล้วงานปูนเปลือยกำลังเป็นที่นิยมอยู่ในขณะนี้ แต่ความนิยมในใจเรามันมีมาตั้งนานแล้ว เพราะรู้สึกว่าอารมณ์ปูนมันให้ความรู้สึกเรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากดี แต่คุณประยูรโต้กลับว่า ช่างทำปูนเปลือยฝีมือดีหายาก 

บทเรียนบทที่หนึ่ง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง แม้ครั้งนี้จะโน้มน้าวช่างให้ทำปูนเปลือยผสมสีฝุ่นไม่ได้ แต่เรากำลังศึกษาคิดค้นหาทางให้ภาพที่อยู่ในหัวออกมาอยู่บนกำแพง ณ ที่ใดที่หนึ่งในไม่ช้านี้


อย่างที่บอก การเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดเวลาตราบที่ชีวิตเรายังเดินต่อ 


วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

อาจารย์เก่ง (ภาคต่อ)

อาจารย์เก่งชี้ชวนให้ดูเฝือกสีสดใสของเธอ


สติเท่านั้น จะทำให้เราผ่านมันไปได้

เป็นคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงานที่ชื่อ อาจารย์เก่งทิ้งเอาไว้ระหว่างการสัมภาษณ์ในวันสบาย ๆ ที่ห้องเรียนก่อนวันสิ้นปีเมื่อ 2 อาทิตย์ที่ผ่านมา สติมาพร้อมกับกำลังใจและการมองโลกในแง่ดีทำให้เธอ ผ่านช่วงความเป็นความตายมาได้แบบ คงจะให้หลายคนมานั่งเล่าเรื่องที่ตัวเองพบเจอ แบบยิ้มแย้มแจ่มใสคงจะหาได้ยากพอสมควร

หลังจากหอบผ้าหอบผ่อน ตัดสินใจกลับเมืองไทย โดยมี mission เดียวคือ อยากช่วยคนช่วงที่เมืองไทยโดนซึนามิถล่ม แล้วเธอก็ได้ไปเริ่มต้นที่เขาหลัก จังหวัดพังงา ทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเยียวยาจิตใจในเบื้องต้นก่อน โดยเธอถือคติว่า การสูญเสียครั้งนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับทุกคน

และการบำรุงรักษาจิตใจ

จะทำให้พวกเขาเหล่านั้น

ผ่านเรื่องราวที่เหมือนฝันร้ายไปได้

ในขณะที่ลงไปคลุกคลีช่วยเหลืออยู่ได้เกือบปี อาจารย์เก่งไม่รู้ตัวเลยว่า เธอเองก็กำลังจะเจอบททดสอบชีวิตครั้งใหม่ที่กำลังคืบคลานเข้ามาหาตัวเธออย่างเงียบ ๆ และช้า ๆ

ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจ นึกไปแค่ว่าตัวเองคงจะกินมาก และอ้วนเกินเหตุ จนทำให้เธอมีหน้าท้องที่ใหญ่เกินตัวอาจารย์เก่งยังคงเล่าให้เราฟังแบบยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับโชว์ภาพประกอบบนผืนผ้าสไลด์ในห้องเรียน ในช่วงที่เธอต้องเข้าบำบัดและรักษาโรคมะเร็งรังไข่ด้วยวิธีคีโม ฯ อยู่ถึง 6 เดือน

การเข้าบำบัดรักษาครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจากการเธอต้องเข้ามาเยี่ยมคุณแม่ ที่ยังคงอาศัยอยู่ในกรุงเทพ ฯ ทุกเดือน คุณแม่ช่วยเตือนเธอให้ลองไปให้คุณหมอที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เช็คดูอีกที แต่แล้วหลังจากการตรวจ เธอก็ออกมาบอกกับแม่ด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า

คุณหมอบอกว่าเก่งเป็นมะเร็ง

เธอเล่าต่อว่า เธอไม่ได้รู้สึกว่ามะเร็งเป็นโรคที่ร้ายแรง ที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ ในขณะที่คุณแม่ของอาจารย์เก่ง แทบจะทรุดอยู่ตรงหน้าห้องตรวจ คนที่แข็งแรงกลับเป็นอาจารย์เก่งคนเดียวที่เหมือนจะส่งกำลังใจไปให้แม่เธอฟังว่า

แล้วเราก็คงจะผ่านมันไปได้เหมือนทุก ๆ ครั้ง

6 เดือนต่อมา คนไข้เก่ง (ที่เธอมักจะเน้นย้ำระหว่างการพูดคุยตลอดเวลาว่า เธอทำตัวไม่เหมือนคนป่วย) ออกจากโรงพยาบาล ร่างกายกลับสู่ภาวะปกติ ได้เวลาต้องกลับไปเขาหลักทำงานอีกครั้ง เพื่อสานต่อเรื่องที่ยังทำไม่เสร็จให้มันสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

การกลับมาของเธอครั้งนี้ ทำท่าจะไปได้สวยอยู่สักพักใหญ่ และเธอเองก็ดูเหมือนจะพอใจกับชีวิตเรียบ ๆ ง่าย ๆ ในการได้ช่วยเหลือคน และยังได้แลกกับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อทำให้ชีวิตจริงกับชีวิตอาสา ได้เดินไปด้วยตัวของมันได้แบบไม่เดือดร้อนใคร

จนกระทั่งวันหนึ่ง บททดสอบชีวิตชุดใหญ่ ก็จู่โจมเข้ามาจนเธอเองไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกครั้ง เมื่อเธอได้รับมอบหมายให้ไปรับเพื่อนฝึกงานในกลุ่มอาสาสมัครนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วระยะทางที่เธอขับรถใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที แต่มันเป็นเพียงแค่ 10 นาทีที่ทำให้ชีวิตของอาจารย์เก่งคนนี้ได้ทดสอบความเก่งอีกครั้ง

ใครที่ขับรถผ่านบนถนนเส้นนั้นในวันนั้น และถ้าได้เห็นสภาพรถที่กองอยู่ข้างทาง ต่างคนต้องพาส่ายหน้าว่าคนขับอย่างไรก็คงไม่มีทางรอด แต่เธอก็รอดมาได้ราวปาฏิหารย์ ในขณะที่เธอเล่าเรื่องราวให้พวกเราฟัง เธอก็ยังคงเน้นและย้ำว่าเธอเป็นคนโชคดีมาก ๆ เรานั่งนับคำว่า โชคดีที่เธอพูดให้เราฟังอย่างน้อย 30 ครั้งภายในระยะเวลาเพียงแค่ 60 นาที

จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนั้น ถึงแม้ร่างกายของเธอจะบอบช้ำ และยังคงรอวันที่จะฟื้นกลับมาให้ได้ดีเหมือนเดิม แต่จิตใจของเธอกลับหมุนไปในทิศทางตรงกันข้าม จนเราอดคิดในใจไม่ได้ว่า

ผู้หญิงคนนี้ เก่งสมชื่อ

เธอบอกกับเราแค่สั้น ๆ ว่า แล้วเรื่องเหล่านี้มันก็จะผ่านไปเหมือนทุก ๆ ครั้ง ขอบคุณสำหรับบทสนทนาดี ๆ ที่ทำให้คนกลุ่มเล็ก ๆ ในห้องเรียนวันนั้นรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันไม่มีอะไรเลวร้ายจนเกินไป ผ่านมาแล้วผ่านไป เชื่อว่าความรู้สึกที่เราถ่ายทอดให้กันในวันนั้น

เป็นเหมือนของขวัญที่ดีที่สุดในวันปีใหม่

เป็นเหมือนการเตือนในการเดินทุกย่างก้าวของชีวิต

ต้องไม่ประมาทและมีสติอยู่เสมอ