วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

เดินตามอัมพวา


เรือพายขายของที่ตลาดน้ำอัมพวา

เขาว่ากันว่า คนชอบของเก่า ชอบสถานที่เก่า ชอบพูดเรื่องเก่า

ขอคอนเฟิร์มว่าเป็นคนแก่…

หรือพูดให้ไม่กระทบกระเทือนใจกันมากนัก เอาคร่าว ๆ ว่าถือเป็นช่วงพ้นวัยรุ่นมาสักพักใหญ่…

เมื่ออาทิตย์ก่อน ได้กลับไปเที่ยวอัมพวาอีกครั้ง และแน่นอนไปกับเพื่อนเก่า (แม้จะไม่ใช่เพื่อนกรุ๊ปเดิมที่เคยไปเที่ยวด้วยกันเมื่อ 8 เดือนก่อน) คราวนี้เป็นเพื่อนรุ่นเก่าลายครามกว่านั้น เพราะเป็นเพื่อนที่วิ่งเล่นกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย

ขอย้ำ (…) เท่าฝาหอยจริง ๆ

อัมพวาเป็นสถานที่เก่า แต่ไม่เคยหมดเสน่ห์ในตัวเอง ถ้าเปรียบอัมพวาเหมือนผู้หญิง คงจะเป็นผู้หญิงที่สวยสมวัย แม้ว่าจะมีความเก่า แต่ความเก่านี้มาพร้อมกับเสน่ห์ที่น่าค้นหา จะว่าสมัยใหม่ทีเดียวก็ไม่เชิง เรียกว่าไม่กระเปิ๊บกระป๊าบมากกว่า

ศัพท์วัยรุ่นเขาเรียกว่า “นัว” คือได้ทุกรูปแบบทุกสถานการณ์ จะสวยแบบเรียบร้อย แบบหวาน แบบเอามันส์ก็ได้ทั้งนั้นสำหรับอัมพวา

ที่ชอบมากที่สุดของทริปนี้ เห็นจะเป็นร้านอาหารชื่อทองโบราณ ซึ่งเป็นร้านอาหารตั้งอยู่กลางตลาด ความพิเศษของร้านนี้ไม่ใช่อยู่ที่อาหาร แต่อยู่ที่วงดนตรีที่มาเล่นและเพลงที่ร้องให้เราฟังมากกว่า เพลงที่เอามาร้อง เครื่องดนตรีที่นำมาเล่น เหมือนพาเราได้ย้อนกลับไปสู่อดีตไล่มาตั้งแต่คุณชนินทร์ นันทนาคร, คุณสุเทพ วงศ์กำแหง เรื่อยมาถึงยุคพิงค์แพนเตอร์, วงอิสซึ่น, ชาตรี นอกจากนั้นยังมีเพลงฝรั่งเก่า ๆ อย่าง Wonderful Tonight, Leaving on a Jet Plane, Hotel California และ ฯ ล ฯ

คนที่ชอบเพลงเก่า รับรองว่าไม่ผิดหวัง!

นอกจากเพลงเก่ากับบรรยากาศเก่า ๆ ตลอดทางเดินในตลาดอัมพวาแล้ว ที่ชอบอีกอย่างของที่นี่ก็คือ ของเก่า ๆ ที่เราเคยเห็นตั้งแต่สมัยเด็ก อย่างเช่นเครื่องกดขนมรูปไข่ที่ต้องใช้เหรียญบาทหยอด ซึ่งตอนเด็ก ๆ นั้นเป็นของเล่นโปรดที่ต้องแวะหยอดทุกครั้งตรงปากซอยทางเข้าโรงเรียน

วันไหนเพลินไปหน่อย ก็อาจจะต้องเหนื่อยหน่อยกว่าจะได้เข้าไปนั่งในชั้นเรียน เพราะเข้าไปเคารพธงชาติไม่ทัน ต้องโดนวิ่งรอบสนามอย่างน้อย 3 รอบ แฮ่ ๆ ๆ

แอบถามคนขายว่าเจ้าเครื่องที่ว่านี่เครื่องละเท่าไร เพราะมีความคิดอยากจะเอาไปตั้งที่บ้าน (ถ้าสักวันมีบ้านเป็นของตัวเอง) ได้ยินราคาแล้วแทบตกเก้าอี้ เพราะเครื่องเล่นที่ว่าราคาตอนนี้อยู่ที่หลายพันบาท กลายเป็นของเก่าหายาก และคงจะกลายเป็นของเล่นสะสมของคนมีเงินไปแล้วมั้ง

ได้ยินราคาก็เลยได้แต่ปลอบตัวเองว่า ถ้าคิดถึงไอ้เครื่องนี่เมื่อไร ค่อยขับรถกลับมาเล่นที่อัมพวานี่แล้วกัน

ตลาดอัมพวาเป็นตลาดน้ำที่ขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะฉะนั้นนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติจะแน่นขนัดและเบียดเสียดจนบางครั้งเราแทบจะไม่ต้องเดิน เพราะฝูงชนจะผลักเราให้เดินข้างหน้าไปเอง

จริง ๆ เราไปกันตั้งแต่วันศุกร์ เพราะฉะนั้นเราเองจะเห็นตอนช่วงที่ตลาดเงียบ ๆ เหงา ๆ คนพายเรือขายของกันเอื่อย ๆ ไม่รีบไม่เร่ง จะว่าไปก็เป็นบรรยากาศที่ดีไปอีกแบบ ทำให้รู้สึกเหมือนกลับไปนั่งอยู่ที่ริมคลองเล็ก ๆ แถวบ้านคลองสานยังไงยังงั้น

แต่พอเริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยกันเข้ามาตลาดตลอดวันเสาร์อาทิตย์ แว่บแรกก็รู้สึกอยากจะหวงแหนสถานที่แบบนี้ไว้คนเดียว ไม่อยากให้การท่องเที่ยวเข้ามาทำลายบรรยากาศที่เรารัก แต่พอเวลาผ่านไป ทำให้เข้าใจว่ามันก็เหมือนเหรียญสองด้าน ขาวกับดำ ซ้ายกับขวา ข้อดีข้อเสีย แค่สองวันคงไม่ได้ทำลายอะไรมาก เพราะเราเหลือกันอีกตั้งห้าวันที่เราสามารถฟื้นฟูสถานที่ได้ทัน

เอาเป็นว่า ขอให้เรามีจิตสำนักรักตลาดอัมพวาเป็นใช้ได้! และขอให้อัมพวา “นัว ๆ” แบบนี้ต่อไปแบบนี้นาน ๆ แล้วกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น