บทแรกของหนังสือว่าด้วยเรื่อง "ความกลัว" |
ตลอดชีวิตรู้ตัวเองมาตลอดว่าเป็นคนเดินช้า…
แต่เป็นคนเดินเก่ง…
คือเก่งแบบช้า ๆ ทำอะไรช้า คิดอะไรช้า กว่าจะเดินแต่ละก้าวผ่านกระบวนการทางความคิดมาค่อนข้างมาก ถึงเมื่อมั่นใจและแน่ใจว่าจะเดิน ถึงค่อย ๆ ก้าว
เป็นคนทำอะไรช้าตั้งแต่เด็ก จนจำคำบ่นของแม่ได้ขึ้นใจว่า “อยากให้ลูกเดินเร็วขึ้น”
ถึงแม้จะเป็นคนช้า ๆ แต่รู้สึกจะมีอยู่อย่างเดียวว่า ตัวเองทำได้เร็วกว่าเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน คือกีฬาบาสเกตบอล ขอแค่เอาตัวเข้าไปอยู่ในสนามเถอะ เมื่อนั้นรู้สึกเอาเองว่า โลกมันอยู่ใต้กำมือเรา รู้สึกว่า “ความเร็ว” มันช่างหอมหวานก็เมื่อตอนที่ลูกบาสอยู่ในมือ พร้อมกับตาที่มองไปข้างหน้า
แม้ว่าทุกวันนี้สภาพร่างกายจะไม่เหมือนเดิม แต่ทุกครั้งที่ได้ยืนอยู่บนสนาม ใจมันออกมาวิ่งแทนไปถึงไหน ๆ แต่พอกลับบ้าน ถึงเพิ่งรู้ว่าร่างกายเรามันไม่เหมือนเดิม อาการปวดเข่าอย่างทรมานจะเข้ามาถามหา พร้อมกับบอกตัวเองว่ายังไม่เข็ดอีกหรือ ?
ย้อนกลับไปตรงที่บอกว่าเป็นคนเดินช้า แต่เป็นคนเดินเก่ง เพราะไม่ค่อยหยุดนะกับการเดินไปในแต่ละก้าวของชีวิต คือเดินไปเรื่อย ๆ แบบช้า ๆ เพราะรู้ว่าเดินช้ากว่าคนอื่น เพราะฉะนั้นเราต้องขยันเดิน บางครั้งจะให้เดินย้ำเท้าอยู่กับที่กับเอา
ที่อาทิตย์นี้เอาเรื่องของคนเดินช้ากลับมาเขียนอีกครั้งหนึ่ง เพราะนึกย้อนกลับไปเลยเกิดคำถามขึ้นมาว่า จริง ๆ แล้วเราไม่ใช่คนเดินช้ากว่าคนปกติหรอก แต่จริง ๆ แล้วเราเป็นคนขี้ขลาดรึเปล่า
ถ้าใครเป็นแฟนคอลัมน์ตัวยง หรือติดตามเรื่องราวจาก www.jirastoryteller.com (ซึ่งตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่บ้านใหม่ที่ http://jirastoryteller.blogspot.com/) อาจจะจำได้ว่าในหนังสือพ็อกเก็ตบุ้คเล่มแรก “บันทึกฅนเล่าเรื่อง” ของเรานั้น บทแรกของหนังสือเป็นเรื่องของความกลัว
กลัวที่จะก้าว…
กลัวที่จะผิดหวัง…
กลัวที่จะไม่ประสบความสำเร็จ…
กลัวจนไม่กล้าจะทำอะไร…
ทั้ง ๆ ที่เขียนเองว่า อย่าไปกลัวเพราะชีวิตของคนขี้กลัว เป็นชีวิตที่ขี้ขลาด แต่มานั่งลองคิดดูแล้ว เหมือนคนเขียนเองยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับเจ้าความรู้สึกกลัวที่อยู่ลึก ๆ อยู่ข้างในตัวเองด้วยซ้ำ
ทุกวันนี้ยอมรับอย่างไม่อาย ยังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวมาตลอด…
และยิ่งช่วงนี้เจ้าความกลัวมันมาเยือนแทบทุกคืน…
คืออยากจะมีชีวิต ทำมาหากินหาเงินเลี้ยงชีพในแบบของตัวเองบ้าง โดยไม่ต้องพึ่งพาพ่อแม่ อยากจะมีความภาคภูมิใจเหมือนชีวิตคนอื่นบ้างที่อายุจะปาเข้าไป 40 แล้ว ยังไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของตัวเองสักนิด คิดจะทำอะไรเล็ก ๆ เป็นของตัวเอง แต่ความคิดกับความจริงมักเดินสวนทางกันตลอด
พ่อสอนเสมอว่า การทำธุรกิจจะต้องต้มไข่หลาย ๆ ฟองในหม้อใบเดียว พ่อเปรียบเปรยให้ฟังถึงเมื่อเราลงทุนลงแรงแล้ว จะทำเล็ก ๆ ไปทำไมในเมื่อไม่ว่าทำเล็กหรือทำใหญ่ เราก็ต้องทำเหมือนกัน แต่มันยากเหมือนกันนะสำหรับคนตัวเล็ก ๆ อย่างเราที่อยู่ดี ๆ จะให้ทำอะไรใหญ่ ๆ เลย
ทั้งหลายทั้งมวลรู้อยู่เหมือนกันว่า แค่อาศัยความกล้าที่จะเปิดประตูออกไปข้างนอก…
เพียงแค่หมุนลูกบิดประตูแล้วเดินออกไป…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น