เครดิตรูปจาก www.postjung.com |
ขึ้นชื่อว่า “คน” เชื่อว่าคนเรามีความอยากได้ อยากมี อยากเป็นกันทุกคน ไม่เชื่อลองหยิบกระดาษ จับปากกา มาเขียนเป็นข้อ ๆ อะไรที่เราอยากได้ รับรองว่าเราจะต้องแปลกใจ เพราะมีลีสต์ยาวเป็นหางว่าว
ลองนึกดูซิว่าความอยากแบบคนธรรมดามีอะไรบ้าง?
รถยนต์ดี ๆ สักคัน…
บ้านใหญ่ ๆ สักหลัง…
เงินทองกองโต ๆ ฝากอยู่ที่ธนาคารเยอะ ๆ …
คนรักดี ๆ สักคน ครอบครัวที่อบอุ่น เพื่อนที่อยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา…
อยาก อยาก และอยาก…
ความอยากน่ะเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมคนเราจะมีความฝัน อยากเป็นนั่น นี่ โน่นบ้างไม่ได้เลยหรือ? แต่ถ้าความอยากมันมากเกินลิมิต นั่นอาจจะหมายความว่า ตัวเราเองอาจจะต้องเป็นทาสรับใช้ความอยากอย่างไม่รู้ตัว ในความอยากนั้น อาจจะมาพร้อมกับความทรมาน เหมือนคนเดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ พอได้สิ่งนั้นแล้วก็วิ่งไปหาสิ่งอื่นต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหยุด
ความอยากแบบนี้มันเหนื่อยว่าไหม?
เคยเห็นหลายคนกำลังหมุนวนกับความอยากเหล่านี้ แต่คิดในทางกลับกัน เขาเหล่านั้นก็คงมองเราเป็นตัวประหลาด ที่ความทะยานอยากมันน้อยเกินไปหรือเปล่า? จริง ๆ ไม่ใช่ตัวเองไม่เคยอยาก เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาแล้ว และรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยและทรมานมาก
จำได้ว่าเคยเหนื่อยที่จะต้องวิ่งตามความคาดหวังของคนอื่น เกิดมาแบบนี้ต้องเป็นแบบนี้ จะเป็นแบบอื่นไปไม่ได้ ตอนนั้นเหมือนหนูถีบจักร ปั่นไปเรื่อย ๆ เมื่อยก็เมื่อย แต่หยุดปั่นไม่ได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อเราได้เริ่มวิ่งช้าลง ดูเพื่อนที่เดินอยู่ข้าง ๆ แล้วก็เกิดความคิดปิ๊งขึ้นมาเหมือนยูเรก้า เออ! ทำไมมันก็ยังมีความสุขกับมันได้ โดยการเป็นตัวของตัวเอง แต่ไม่เบียดเบียนและทำความเดือดร้อนให้ใคร
แล้วเพื่อนคนนั้นมันก็อยู่ได้ และอยู่ได้ดีเสียด้วย…
การเรียนรู้เลยเริ่มจากตรงนั้น…
อยากได้ อยากมี อยากเป็น…
ต้องเอาให้มันพอดี…
และถ้าใจมันอยากมากนัก ก็ให้มันอยากแบบมีสติ จะได้ไม่ต้องเดือดร้อนทรมานสังขารทั้งร่างกายและจิตใจตัวเอง