วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ความคาดหวัง

เครดิตรูปจาก memorybeloved.myfri3nd.com

จะว่าไปความคาดหวังเป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่คอยมุ่งแต่จะทำร้ายเรา ไม่ว่าเราจะคาดหวังกับสิ่งใหญ่ ๆ ถึงความสำคัญขนาดระดับประเทศชาติ หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแค่การทอดไข่เจียวหนึ่งใบให้มันฟูฟ่องน่ากินเมื่อนำไปวางบนโต๊ะกินข้าว
เมื่อสิ่งที่เราคาดว่ามันจะต้องเกิด ต้องเป็น ต้องมี หรือต้องได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่ใจอยากจะให้เป็น
เมื่อนั้นอาการตัวหนัก ๆ ดิ่งลงมาจากอากาศ
จนเกิดสูญญากาศขึ้นในใจเรา
เมื่อเราไม่ได้อย่างที่คาดหวัง ย่อมจะเกิดคำถามว่า แล้วเราจะอย่างไรต่อ
จะใส่เกียร์เดินหน้า หรือถอยหลังดี
ความคาดหวัง กับ ความหวัง เป็นคำที่ใกล้เคียงกัน แต่ความหมายต่างกัน การมีชีวิตของคนเราต้องอยู่ได้ด้วยความหวัง ในแง่มุมนี้เราจึงตีความเจ้าความหวังว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นให้เราโจนทะยานไปสู่จุดที่เราหวังไว้
มีคนเคยบอกไว้ว่า ชีวิตที่ไร้ความหวัง เป็นชีวิตที่ขาดรสชาติและขาดพลัง เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวแล้วลืมปรุงอย่างไรอย่างนั้น หรือประมาณว่ากินข้าวแบบไม่มีพริกน้ำปลา
อันนี้เราเห็นด้วยนะ การมีความหวังเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในตัวเองด้วย ว่าเรามีความหวังในอะไรหรือใคร แล้วความหวังนั้นจะไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ เหมือนคนลงสนามวิ่งแข่ง กับความหวังหนึ่งมันต้องมีกำหนดระยะเวลาเหมือนกัน
ลองกลับมาดูเจ้า ความคาดหวังที่จั่วเปิดคอลัมน์อาทิตย์นี้ไว้ว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจ ความคาดหวังโดยตัวของมันเอง ไม่ใช่ว่าไม่ดี เกิดมาเป็นคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องมีความคาดหวังบ้างกันเป็นธรรมดา
แต่การคาดหวังอย่างเดียวนั้น มันเสี่ยงเกินกับใจเกินไป ถ้าเราไม่ได้สิ่งที่เราคาดเอาไว้ ถ้าจะให้ดีจะคาดหวังกับใครหรืออะไร ให้พกพาความเข้าใจในธรรมชาติของความคาดหวังเข้าไปด้วย แล้วเราจะได้ไม่เหมือนกับตกเหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การเข้าใจก็คือ การเปิดใจให้กว้าง ยอมรับมันให้ได้นั่นเอง
ในขณะที่เราเปิดใจให้กว้างออกไปรับโอโซนบริสุทธิ์ข้างนอกแล้ว ต้องคอยบอกตัวเองด้วยว่าอากาศดี ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพ ฯ ไม่ได้มีให้เราได้สูดทุกวันไป มันต้องมีวันที่ฟ้าหม่น อากาศเป็นพิษบ้าง
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของเจ้าความคาดหวัง และทำความรู้จักพร้อมกับเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างดีแล้ว เราคิดว่าต่อให้เรามีความคาดหวังมากขนาดไหน ความมีสติจะนำพาปฏิกิริยาตอบสนองของเราไปในทางที่เราสามารถยอมรับที่จะอยู่กับมันได้
ก็แค่เหมือนวันที่เราแข่งกีฬาแพ้ แพ้ก็คือแพ้ ไม่เห็นจะยากอะไรแค่ยอมรับว่าสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่อย่าลืมที่จะกลับไปหมั่นฝึกฝนให้ตัวเองกลับมาแข็งแรง และกลับมาสู้อีกครั้ง

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ทฤษฎี

เครดิตรูปจาก http://www.about-kmrb.blogspot.com/

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาค่อนข้างวุ่นวายสำหรับคนที่เป็นอาจารย์ทั้งหลาย เพราะโรงเรียนเพิ่งเปิดไปไม่กี่อาทิตย์ ก่อนนั้นเข้าใจแค่ว่าคงมีแต่นักเรียนที่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมตัวเพื่อไปโรงเรียน พอเปลี่ยนบทบาทมาเป็นอาจารย์ เลยเห็นว่าตัวอาจารย์มือใหม่เองก็วุ่นวายไม่ใช่น้อย
ทั้งวิชาที่จะสอน
กิจกรรมในห้องเรียน
การบ้าน
คิดกันแบบเคร่งเครียดในหมู่เพื่อนอาจารย์ด้วยกัน ว่าจะให้ลูกศิษย์เราได้รับความเพลิดเพลินในการเรียนอย่างไร โดยเขาไม่รู้สึกว่าเป็นการยัดเยียดอะไรเข้าไปในสมองเขามากจนเกินไป
แล้วเลยเพิ่งมาเข้าใจว่า ตัวเองเป็นคนไม่ชอบทฤษฎีเอามาก ๆ แล้วจำเป็นต้องพาร่างกายไปสอนทฤษฎีอะไรก็ไม่รู้ ทำให้รู้สึกหนักใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งมีความหนักใจมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องพยายามทำให้ไอ้ภาษาวิชาการนั้น กลายเป็นภาษาที่เราสามารถคุยให้นักเรียนฟังได้ แบบไม่อยากเห็นนักเรียนนั่งทำหน้าเหวอกันในห้องเลคเชอร์
ยอมรับว่ายากมาก
และมีความกังวลอยู่ไม่น้อย ในการเตรียมตัวไปสอน
เมื่อก่อนสมัยเป็นนิสิตจุฬา ฯ มันมาเป็นวูบ ๆ นะขณะที่นั่งอยู่ในห้องเลคเชอร์ ถามคำถามในใจกับตัวเองมาตลอดว่า ไอ้ทฤษฎีที่อาจารย์พูดปาว ๆ อยู่หน้าห้อง เหมือนอะไรที่มันไกลเกินเอื้อม ไม่รู้จัก แถมยังคิดไปว่ามันเป็นทฤษฎีที่อธิบายออกมาเป็นภาษาคนไม่ได้
คือดูเหมือนอาจารย์จะอธิบายด้วยภาษาต่างดาวอะไรประมาณนั้น
พอพาลไม่เข้าใจ ก็เลยรู้สึกว่าไม่สนใจที่จะเรียนรู้ รู้สึกว่าความรู้กำลังรอเราอยู่นอกห้องเรียนมากกว่า แต่พอเวลาผ่านไป เราเลยเพิ่งเข้าใจว่า เราเข้าใจผิด ทุกทฤษฎีมันมีคำอธิบายของมัน เพียงแต่น่าเสียดายตรงที่ว่า เจ้าของทฤษฎีไม่พยายามที่จะเขียนอะไรที่ฟังแล้วเข้าใจง่าย หรืออาจารย์ผู้สอนเองล้มเหลวในการอธิบายคอนเซปของแต่ละทฤษฎีนั้น ๆ
ว่าแล้วจะทำประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไปไย
ไหน ๆ เราก็มาเป็นอาจารย์แล้ว
จะให้เด็กรุ่นใหม่นึกค่อนขอดลับหลังว่า
อาจารย์พูดไม่รู้เรื่องก็ดูจะเป็นการดูถูกความสามารถกันมากเกินไปหน่อย
จะว่าไปแล้ว ไม่ว่าเราจะอยู่ในโรงเรียน หรือใช้ชีวิตนอกรั้วโรงเรียน เราวนเวียนกับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งอยู่ตลอด เพียงแต่เราไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง ว่าทฤษฎีอะไรเข้ามามีบทบาทกับเราช่วงไหนต่างหาก
การเป็นคนมีทฤษฎีในการใช้ชีวิตบ้าง ทำให้เราเดินไม่หลงทาง ไม่เสียเวลากับอะไรที่ไม่ควรจะเสีย โอ้! อันนี้พูดเหมือนกับไม่ใช่ตัวเอง เพราะเท่าที่ใช้ชีวิตมาตลอดทั้งชีวิต ไม่ค่อยได้ใช้สมองมากกว่าหัวใจตัวเอง
และเพราะมันเป็นอย่างนี้เอง ทำให้รู้สึกการดำเนินชีวิตในบางครั้งของเราเหมือนคนตาบอด เดินสะเปะสะปะไม่ตรงทาง ถามตัวเองก็ยังตอบไม่ได้ว่า ทำไมชีวิตช่วงนั้นถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมชีวิตช่วงนี้เราไม่ตัดสินใจอย่างนี้
การใช้ทฤษฎีเป็นหลักการที่ดี แต่ก็อย่าลืมถามความรู้สึกของตัวเองด้วย
เอาตรรกะกับหัวใจแล้วหารสองท่าจะสร้างสมดุลให้กับชีวิตเราที่สุด

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เคารพ

เครดิตรูปจาก www.oknation.net

หลังจากเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเมืองอาทิตย์ที่แล้ว ตอนนั้นมีความตั้งใจตั้งแต่วันที่ส่งต้นฉบับว่า จากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้งเดือนหน้า จะงดเขียนและละเว้นการแสดงความคิดเห็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ต้องยอมรับว่า เรื่องการเมืองไทยตอนนี้เป็นเรื่องกระทบกระทั่งกันง่ายดายมาก บางครั้งถึงกับโกรธกันแบบเอาเป็นเอาตาย เลิกคบกันไปเลยก็มี
เคยได้ยินจากเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ขึ้นรถแท๊กซี่แล้วดันเผลอไปพูดเรื่องการเมืองเข้า เธอคนนั้นโดนอัปเปหิจากรถแบบยังแสดงความคิดเห็นไม่จบด้วยซ้ำ ลองหลับตานึกดูว่า เพียงแค่สี เพียงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอยู่บ้าง ถึงกับทำให้เราตัดเป็นตัดตายกันเชียวหรือ
แต่ความตั้งใจเดิมได้ถูกวางลง
เรียกว่าแบบกระทันหัน
เมื่อได้ยินเรื่องราวของความขัดแย้งมันลุกลามเข้ามาใกล้ตัวเรื่อย ๆ
จนทำให้คิดไปเองว่า ทำไมเราจะไม่มีทางออกสำหรับสิ่งนี้เลยหรือ?
ขณะเดียวกันก็ถามตัวเองว่า ถ้าเราไม่เขียนในสิ่งที่เราเห็น เรามอง หรือเรารู้สึก นั่นอาจหมายความว่า เราไม่ได้ทำหน้าที่ของคนสื่อที่ดีในการสะท้อนภาพมุมมองอีกมุมหนึ่งว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ว่าเรายังจะอยู่ร่วมกันได้ในภาวะหลากสี
อย่าไปพูดเลยว่าใครจะมา ใครจะไป
ประเทศไทยจะมีนายกเป็นผู้หญิงคนแรกหรือไม่
ใครจะกลับเข้ามาโกงกินประเทศชาติได้อีก
อันนี้เป็นเรื่องจริงที่เราหลีกหนีไม่พ้น
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือวันนี้ และเดี๋ยวนี้
ต้นเหตุของการที่เราทะเลาะกันแบบเอาเป็นเอาตาย ตัดพี่ตัดน้อง ตัดเพื่อนตัดฝูง เพราะอะไร? เพราะว่าเราขาดความเคารพในความคิดเห็นซึ่งกันและกันใช่หรือไม่ ต้องถึงขนาดที่จะเลิกคบกันไปเลยหรือ กับคนที่มีความเห็นไม่ตรงกับเรา  
วันนี้บอกใครหลายคนว่า คุณจะเป็นเสื้อแดง เสื้อเหลือง หรือเสื้ออะไรก็แล้วแต่ เชื่อเถิดว่า มันต้องมีมุม ๆ หนึ่งที่เราสามารถยังอยู่ด้วยกันได้ เคารพในสิ่งที่คนอื่นคิด เท่า ๆ กับเคารพในสิ่งที่ตัวเองคิด เพราะไม่ว่าเราจะโกรธ จะเกลียดกันอย่างไร อย่าลืมว่าเรามีแผ่นดินไทยแผ่นดินเดียวที่เราจะต้องอยู่ด้วยกันไปจนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
มองในมุมบวก การที่เรามีความคิดเห็นขัดแย้งกัน ศรัทธาในแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ย่อมนำไปสู่การโต้เถียงบนพื้นฐานของความมีเหตุผล และสิ่งเหล่านี้เอง ส่วนตัวแล้วเชื่อว่า จะสอนให้เราคิดเป็น การที่เราคิดเป็นแล้วเราจะไม่โดนใครหลอกง่าย ๆ
บอกกับนักเรียนของตัวเองในห้องเล็คเชอร์อยู่เสมอว่า รากปัญหาของประเทศเราทุกวันนี้มาจากระบบการศึกษา นอกจากคนส่วนใหญ่จะได้เรียนน้อยแล้ว ในจำนวนของคนส่วนน้อยที่ได้เรียนก็ยังมีปัญหาที่ยังไม่ค่อยมีใครได้พูดถึง คือ ขบวนการทางความคิดยังไม่เป็นระบบ หรือพูดภาษาแบบชาวบ้านก็คือ คิดไม่เป็น
การคิดเป็นไม่ใช่สิ่งที่เราจะได้มาชั่วข้ามคืน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องสะสมไปเรื่อย ๆ พยายามบอกให้นักเรียนฟังอยู่เสมอว่า
แสดงความเห็นออกมาเถอะในห้องเรียนน่ะ จะถูกจะผิดไม่มีใครว่า ดีเสียอีกที่อาจารย์จะได้เรียนรู้ความคิดเห็นของนักเรียนบ้าง
วันนี้เราคิดต่างเห็นต่าง ใส่เสื้อกันคนละสี อันนี้ไม่เป็นไร
แต่อย่าลืมที่จะเคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน
แค่นั้นเอง

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขายฝัน

เครดิตรูปจาก http://www.learners.in.th/

ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของการเร่ขายฝันของนักการเมืองไทย จะเรียกว่าเป็นช่วง prime time แบบโฆษณาทางทีวีก็คงไม่ผิดนัก แต่ฝันของพวกเขาจะขายได้หรือไม่ อันนี้คงต้องรอจนถึงวันเลือกตั้ง ใครจะมาใครจะไป ใครจะได้ใครจะเสีย ใครจะไปถึงฝั่งหรือตกม้าตายเสียก่อน วันนั้นคงเป็นอันรู้กัน
เมื่อถึงฤดูเลือกตั้ง เรื่องการขายความฝัน เป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักการเมืองบ้านเรา สัญญาหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างที่เรากำลังตัดสินใจจะเลือกใครเข้าไปนั่งในสภา แต่สัญญาหลายครั้งเป็นเหมือนแค่ลมปากเป่า ผ่านมาแล้วผ่านเลยไป
คนเราอะไรมันช่างลืมง่ายขนาดนี้
เพราะความที่ไม่เชื่อใครง่าย คำมั่นสัญญาหลายของนักการเมืองผ่านทางสื่อหลาย ๆ ช่องทาง ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่า จะมาช่วยพัฒนาชาติบ้านเมืองกันอย่างไรหรือแบบไหน เพราะแม้แต่สิ่งเล็ก ๆ เขายังทำไม่ได้ดี แล้วจะมาทำสิ่งใหญ่ ๆ ให้คนหมู่มากได้อย่างไร
คิดเอาแบบง่าย ๆ เขาหลายคนขายฝันว่า ถ้าเขาถูกเลือกเข้าไปนั่งในสภา เขาจะพัฒนาบ้านเมือง กระจายรายได้ไปสู่ชนบท ให้เด็กนักเรียนทุกคนมีแล็บท็อปใช้ ให้ทุกคนมีที่ดินทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และ ฯ ล ฯ คำถามคือว่า มันจะเป็นไปได้หรือ เพราะแม้แต่สมาชิกในครอบครัวของเขาเองยังสร้างความวุ่นวายปวดหัวไม่พ้นแต่ละวัน
คนเราจะอาสาตัวเองออกไปรับใช้สังคมและบ้านเมือง แต่เรื่องของตัวเองยังเอาไม่รอด คิดตามหลักตรรกะ ก็ต้องถามแบบชาวบ้านว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร (ฟร่ะ)
เหมือนกับว่าเราอยากจะออกไปช่วยโลก แต่แม่แค่ขอให้เราอยู่บ้าน ทำความสะอาดบ้าน อยู่เป็นเพื่อนแม่บ้าง เรายังทำไม่ได้เลย แค่สิ่งเล็ก ๆ เรายังทำไม่ได้ ก็อย่าไปหวังที่จะไปทำอะไรที่มันใหญ่เกินตัว
เริ่มต้นกับสิ่งเล็ก ๆ กันก่อนดีไหม
ค่อย ๆ ก้าวไปทีละขึ้น สร้างรากฐานให้มันมั่นคงก่อน เวลาเดินขึ้นไปบนยอดสูง ๆ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าฐานมันจะพัง เริ่มต้นจากที่ฝรั่งเรียกกันว่า baby step ค่อย ๆ ก้าวทีละนิด ทำตามกำลังที่ตัวเองมี เมื่อวันที่เราพร้อมแล้วค่อยก้าวออกไปสู่โลกกว้าง เมื่อนั้นเราจะเข้าใจถึงคำว่า การออกไปช่วยเหลือคนอื่นอย่างมีความสุขที่สุดเป็นอย่างไร
การมีความฝันเป็นสิ่งที่ดี
เพราะความฝันจุดประกายให้เรามีความมุ่งมั่นที่จะก้าวเดินไป
แต่การเร่ขายฝัน น่าจะเริ่มจากการที่เราได้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดก่อน ก่อนที่จะก้าวออกไปทำอะไรให้กับสังคมที่ใหญ่ขึ้น
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่สำคัญ เริ่มต้นจากการดูแลคนใกล้ ๆ เราให้ดีที่สุดก่อน แล้วค่อยก้าวออกไปนอกบ้านเพื่อช่วยเหลือสังคมที่ใหญ่ขึ้น
และการจะซื้อความฝันของใครสักคน ให้คิดให้ดีให้ถี่ถ้วน ว่าวันนี้เขาพูดไปแล้ววันหน้าเขาจะทำได้ไหม ที่เขียนแบบนี้ไม่ได้มีความมุ่งหมายที่จะชี้นำให้ใครตัดสินอะไรใคร เอาความจริงเอาเหตุผลมาคิดก่อน เรายังมีเวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนเต็ม ๆ และไม่ว่าคนไทยเราจะอยู่ที่ไหน อย่าลืมว่าเรามีหน้าที่สำคัญที่ต้องออกไปเลือกตั้งต้นเดือนหน้า
แค่จำไว้อย่างเดียว โนโหวตไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา
วันนี้บ้านเมืองต้องการพลัง เมื่อถึงเวลาแสดงพลัง เราต้องออกไปแสดงสิ่งที่เราเชื่อสิ่งที่เราคิดผ่านการกากบาทเลือกตั้งในคูหา
ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน ๆ ของโลก

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โอกาส

เครดิตรูปจาก http://www.lightstalkers.org/

คืนนั้นเรานัดแนะกันเป็นดิบดี ว่าจะต้องกลับไปประลองฝีมือความแม่นที่โต๊ะพูลกันเสียหน่อย หลังจากห่างหายจากกิจกรรมโปรดมาเป็นเวลาหลายเดือน และคืนนั้นก่อนออกจากบ้านเราไม่รู้เลยว่า ร้านอาหารร้านที่เราคุ้นเคยร้านนั้น เราจะต้องไปเจอกับใครหรืออะไร
ชีวิตบางครั้งก็เป็นเรื่องที่เราคาดไม่ถึง
แต่ทุกครั้งที่เราใส่รองเท้าเดินออกจากบ้าน
มันมักจะมีเรื่องให้เราได้เรียนรู้อยู่เสมอ
และครั้งนี้ก็เช่นกัน
อย่าเพิ่งด่วนตกใจไป ไม่ได้มีอะไรถึงขั้นคอขาดบาดตาย ไม่ได้มีการเมาแล้วแซวกัน จนเลยไปเถิดประลองความแม่นอะไร แต่มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บังเอิญผ่านเข้ามาให้เราได้เห็นและรู้สึกว่า ชีวิตเรานี้ช่างโชคดีกระไร อยากได้อะไรก็ได้ อยากจะทำอะไรก็ได้ทำ ไม่เหมือนอีกหลายชีวิตที่ดูเหมือนจะไม่มีที่ว่างให้เขาได้เหยียบบนแผ่นดินอย่างเต็มภาคภูมิ
คืนนั้นเรากำลังสนุกสนานกับการเริ่มต้นเกมส์ จะว่าไปก็ยังเช้าอยู่มาก สำหรับเวลาของคนที่ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ สั่งอาหารมากินกันสองสามอย่าง ให้มันวางบนโต๊ะแบบไม่ให้น่าเกียจ คนที่มาเที่ยวยังบางตาอยู่มากในช่วงหัวค่ำอย่างคืนนี้
แต่นักเที่ยวเริ่มเข้ามาหนาแน่นขึ้นอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เมื่อฝนเริ่มโปรยปรายลงมาทักทายคนนอนดึกอย่างเรา และดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
เกมส์แรกของเราผ่านไปด้วยดี การเล่นพูลต้องมีมารยาทกันนิดนึง ตรงที่เราสามารถเล่นได้ 2-3 เกมส์ แต่จะเล่นต่อหลังจากนั้นไปเรื่อย ๆ ก็ไม่มีใครว่า ถ้าไม่มีโต๊ะอื่นมาเข้าคิวรออยู่ มันเป็นมารยาทเล็ก ๆ น้อย ๆ ในสังคมที่ต้องแบ่งกันเล่นเท่านั้นเอง
เราหยุดเกมส์หลังจากเกมส์ที่  2 แต่เมื่อเริ่มนั่งโต๊ะได้ไม่นาน ก็มีผู้ชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 50 ปี เขากลายเป็นจุดเด่นของร้านไปทันที ทุกสายตาเพ่งมองไปที่เขา นอกจากที่เขาจะแต่งตัวซอมซ่อแล้ว ที่โดดเด่นที่สุดก็คือ เขาไม่มีมือทั้งสองข้าง เราแอบจ้องสายตาของคนอื่นทันที ว่ามีปฏิกิริยาอย่างไร เมื่อชายคนนั้นยกมือไหว้เพื่อขอรับบริจาค
ความรู้สึกที่อบอวลอยู่ในร้าน มันแรงจนทำให้เราจับความรู้สึกได้ว่า เขามองผู้ชายคนนั้นเหมือนตัวประหลาด ถ้าพูดให้หนักไปกว่านั้น หลายคนมองด้วยสายตาขยะแขยง
เรารู้ว่าผู้ชายคนนั้นคงรู้สึกได้
อย่าว่าแต่เขาจะรู้สึกเลย
 เราเองขนาดไม่ใช่เป็นเขา
ยังรู้สึกถึงรังสีที่แผ่ออกมาได้
จะรอช้าอยู่ไย เรื่องราวชีวิตจริงกำลังตีแผ่อยู่ตรงหน้า เราสองคนเรียกเขาเข้ามาคุยว่าอยากได้อะไร วินาทีนั้นจะเป็นเงินหรืออาหาร เราพร้อมที่จะให้ อารมณ์ ณ เวลานั้นมันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ ไม่ได้เขียนเสแสร้งเพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้นมาในสายตาคนอ่าน
ผมแค่อยากขึ้นไปร้องเพลง
แล้วใครจะบริจาคเท่าไหร่ผมยินดี
ผมขอแค่โอกาสให้ได้ขึ้นไปยืนร้องเพลงบนนั้น
เขาคงหมายถึงเวทีเล็ก ๆ หน้าร้าน ที่นักร้องวัยรุ่นกำลังโซโล่เพลงอย่างเมามันส์
อืม! ก็อย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนแรก ความใจกว้างที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ชายคนนี้ได้เหยียบบนผืนดินที่เขาเกิด มันแทบไม่มีเลย นอกจากเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราสามารถจะเจียดให้เขาได้ ก็ไม่ได้ช่วยให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้เลย
ที่ ๆ ให้ได้ก็คือกำลังใจแค่ว่า พี่ ๆ ยังมีร้านอื่นแถว ๆ นี้อยู่เยอะแยะ พี่ลองดูนะ
พูดไปทั้งที่รู้ว่า ความฝันของผู้ชายคนนี้มันริบหรี่ลดน้อยลงทุกที ๆ ว่าแล้วอยากจะเปิดร้านอาหารของตัวเอง ให้พี่คนนี้มา live concert ดูสักคืน
เมื่อนั้นบทเพลงที่จะถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต คงจะได้ออกมาตีแผ่และเต้นเร่าอยู่ตรงหน้า