เครดิตรูปจาก memorybeloved.myfri3nd.com |
เมื่อสิ่งที่เราคาดว่ามันจะต้องเกิด ต้องเป็น ต้องมี หรือต้องได้ มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างที่ใจอยากจะให้เป็น
เมื่อนั้นอาการตัวหนัก ๆ ดิ่งลงมาจากอากาศ…
จนเกิดสูญญากาศขึ้นในใจเรา…
เมื่อเราไม่ได้อย่างที่คาดหวัง ย่อมจะเกิดคำถามว่า แล้วเราจะอย่างไรต่อ…
จะใส่เกียร์เดินหน้า หรือถอยหลังดี…
“ความคาดหวัง” กับ “ความหวัง” เป็นคำที่ใกล้เคียงกัน แต่ความหมายต่างกัน การมีชีวิตของคนเราต้องอยู่ได้ด้วยความหวัง ในแง่มุมนี้เราจึงตีความเจ้าความหวังว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นให้เราโจนทะยานไปสู่จุดที่เราหวังไว้
มีคนเคยบอกไว้ว่า ชีวิตที่ไร้ความหวัง เป็นชีวิตที่ขาดรสชาติและขาดพลัง เหมือนกินก๋วยเตี๋ยวแล้วลืมปรุงอย่างไรอย่างนั้น หรือประมาณว่ากินข้าวแบบไม่มีพริกน้ำปลา
อันนี้เราเห็นด้วยนะ การมีความหวังเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในตัวเองด้วย ว่าเรามีความหวังในอะไรหรือใคร แล้วความหวังนั้นจะไปให้ถึงจุดหมายได้อย่างไร ใช้เวลานานเท่าไหร่ เหมือนคนลงสนามวิ่งแข่ง กับความหวังหนึ่งมันต้องมีกำหนดระยะเวลาเหมือนกัน
ลองกลับมาดูเจ้า “ความคาดหวัง” ที่จั่วเปิดคอลัมน์อาทิตย์นี้ไว้ว่ามันเป็นศัตรูตัวฉกาจ ความคาดหวังโดยตัวของมันเอง ไม่ใช่ว่าไม่ดี เกิดมาเป็นคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ย่อมหลีกไม่พ้นที่จะต้องมีความคาดหวังบ้างกันเป็นธรรมดา
แต่การคาดหวังอย่างเดียวนั้น มันเสี่ยงเกินกับใจเกินไป ถ้าเราไม่ได้สิ่งที่เราคาดเอาไว้ ถ้าจะให้ดีจะคาดหวังกับใครหรืออะไร ให้พกพาความเข้าใจในธรรมชาติของความคาดหวังเข้าไปด้วย แล้วเราจะได้ไม่เหมือนกับตกเหวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
การเข้าใจก็คือ การเปิดใจให้กว้าง ยอมรับมันให้ได้นั่นเอง
ในขณะที่เราเปิดใจให้กว้างออกไปรับโอโซนบริสุทธิ์ข้างนอกแล้ว ต้องคอยบอกตัวเองด้วยว่าอากาศดี ๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพ ฯ ไม่ได้มีให้เราได้สูดทุกวันไป มันต้องมีวันที่ฟ้าหม่น อากาศเป็นพิษบ้าง
เมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของเจ้าความคาดหวัง และทำความรู้จักพร้อมกับเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างดีแล้ว เราคิดว่าต่อให้เรามีความคาดหวังมากขนาดไหน ความมีสติจะนำพาปฏิกิริยาตอบสนองของเราไปในทางที่เราสามารถยอมรับที่จะอยู่กับมันได้
ก็แค่เหมือนวันที่เราแข่งกีฬาแพ้ แพ้ก็คือแพ้ ไม่เห็นจะยากอะไรแค่ยอมรับว่าสู้คู่แข่งไม่ได้ แต่อย่าลืมที่จะกลับไปหมั่นฝึกฝนให้ตัวเองกลับมาแข็งแรง และกลับมาสู้อีกครั้ง