วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์

เครดิตรูปจากอูฐ เพื่อนนิเทศ

ทุกวันนี้เคยรู้สึกไหมว่า พวกเราถูกกำหนดชีวิตอยู่ในกรอบของเวลา
โดยเฉพาะมนุษย์ทำงานอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ถูกขีดเส้นด้วยวันทั้ง 7 วัน ตั้งแต่วันจันทร์เรื่อยมาถึงวันอาทิตย์ ดีใจมากหน่อยเมื่อถึงเย็นวันศุกร์ ใช้เวลาที่เหลือถัดมาอีก 2 วันอย่างมีความสุข
แล้วก็จะหลีกไม่พ้นที่มีความรู้สึกว่าไม่ชอบเช้าวันจันทร์เลยเพราะมันเป็นวันเริ่มทำงานวันแรก เรื่อยมาถึงวันกลางอาทิตย์ แล้วก็วนกลับมาวันศุกร์อีกที
ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนี้สำหรับคนที่เป็นมนุษย์เงินเดือน
เมื่อเข้าใจสิ่งที่ขีดเส้นให้เราเดิน แล้วมีความรู้สึกว่าดีใจสำหรับคนที่หลุดออกนอกกรอบ คือแบบไม่ต้องดีใจเมื่อถึงวันใกล้สิ้นเดือน และไม่เห็นเงินเดือนในธนาคารเพิ่มขึ้นแบบผิดปกติเมื่อใกล้ช่วงโบนัสออกตอนกลางปีหรือปลายปี (ฮา)
จริง ๆ แล้วมันก็เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน เพราะคนที่หลุดจากสลิปเงินเดือน ก็อาจจะมีความกระวนกระวายใจแบบช่วยไม่ได้ เพราะรายได้มันมาแบบไม่แน่นอน ขณะที่เรายังต้องกินต้องใช้กันอยู่ทุกวัน
แค่อยากจะบอกว่า ดิส อิส อะ ไลฟ์
วันจันทร์ วันศุกร์ วันสุข หรือวันทุกข์ มันมาของมันเป็นจังหวะแต่ละช่วงชีวิตของแต่ละคนมากกว่า เพียงแต่เราจะต้องตั้งหลักรับมันให้ทัน สุขก็จงรู้ว่าสุข และทุกข์ก็จงรู้ว่าทุกข์ ทั้งสุขและทุกข์มันจะหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมาทักทายเราอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
ไม่ใช่ว่าต้องเป็นวันจันทร์เราถึงรู้สึกไม่มีความสุข หรือจะต้องเป็นแค่วันศุกร์เท่านั้น เราถึงจะรู้สึกว่าความทุกข์ได้จรลีหายไป เพราะคนเราจะสุขจะทุกข์ไม่ได้อยู่ตรงวันไหนหรอก ดูอย่างช่วงนี้ใกล้วันหยุดยาวของที่กรุงเทพ ฯ นี่ มีข่าวร้ายนำมาล่วงหน้าช่วงก่อนสิ้นปี
เหมือน ๆ กับจะบอกเรากลาย ๆ ว่าแค่กระพริบตา
บางที่ชีวิตของคนหนึ่งคนอาจจะเปลี่ยน
ข่าวร้ายที่ว่าคือ อุบัติเหตุรถยนต์ชนกับรถตู้บนดอนเมืองโทลล์เวย์ช่วงหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ชนกันรุนแรงถึงขนาดผู้โดยสารรถตู้กระเด็นออกมานอกรถ ตกลงมาตายบนถนนข้างล่างเกลื่อนกลาดเต็มไปหมด และที่สำคัญคนเหล่านี้ล้วนแต่เป็นคนมีการศึกษา เป็นกำลังสำคัญและเป็นอนาคตของประเทศชาติ
คนขับรถยนต์ขับรถมาด้วยความเร็วสูง อายุ 16 ปี ยังไม่มีใบขับขี่ และที่สำคัญเป็นลูกคนมีอิทธิพล
ในขณะนี้มีหลายฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ความเป็นธรรมกับอุบัติเหตุครั้งนี้ ใครผิดต้องว่าไปตามผิด อย่าให้ความมีอำนาจมาบิดเบือนความจริง และต้องเอาผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้ ดูเหมือนว่าครั้งนี้ขบวนการยุติธรรมบ้านเรากำลังจะถูกทดสอบอีกครั้ง
อันนี้ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ
แค่อยากจะบอกว่าในวันนี้ ในขณะที่หลายคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาเฉลิมฉลองปีใหม่กันอย่างใจจดใจจ่อ ยังมีอย่างน้อยอีก 8 ครอบครัวจากการสูญเสียครั้งนี้ กำลังมีความทุกข์อย่างหนักหนาสาหัสต่อการจากไปของพวกเขาอย่างไม่มีวันกลับ
ความทุกข์ไม่ได้มาตามวันเสียที่ไหน
จริง ๆ แล้วมันมาได้ทุกวันต่างหาก
เขียนเรื่องส่งท้ายปีเสือไว้ไม่สนุกอย่างที่เคยตั้งใจไว้ แต่อย่างไรก็ไม่ลืมส่งความสุขมาให้แฟนคอลัมน์ต่างองศา รวมทั้งครอบครัว ญาติ เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่ปีเสือกำลังจะหมดไป และปีกระต่ายกำลังจะมาเยือน
เอาเป็นว่าสุขสันต์วันปีใหม่แบบธรรมดา ๆ ดีไหม
แฮ้ป อะ แฮป ปี้ นิว เยียร์ คะ

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เรื่องของสี

เครดิตรูปจาก http://www.siamsouth.com/

อาทิตย์นี้เป็นช่วงของการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาส เรียกว่าเป็น ออเดิร์ฟก่อนจะเข้าสู่เทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่อาทิตย์หน้า ช่วงนี้ไปที่ไหนก็จะเห็นแต่สีแดงสีเขียวเต็มไปหมด เพราะคงจะเป็นภาพชินตาที่จะมีลุงซานต้าในชุดสีแดง หนวดขาว เดินเล่นไปมาให้เด็ก ๆ ได้ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน
เรื่องของ สีเป็นเรื่องที่แปลก และไม่รู้ใครเป็นคนบอกว่า เทศกาลนี้ต้องคุมโทนสีแดงเป็นหลัก อาจมีสีเขียวแหล่ม ๆ ออกมาประปราย พอให้ตัดกันได้แบบเข้ากั๊นเข้ากัน อย่างกับข้าวเหนียวต้องคู่กับส้มตำอย่างไรอย่างนั้น
ลองมองดูรอบ ๆ ตัวก็เห็นจะจริงว่าชีวิตเราแวดล้อมไปด้วยสี บางอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของสังคมไปโดยเราไม่รู้ตัว อย่างไปงานแต่งงานจะคุมโทนดำอย่างเดียว เจ้าภาพเขาอาจจะนึกด่าบุพการีเราอยู่ในใจ แม้ว่าในวงการแฟชั่นเดี๋ยวนี้ สีดำกลายเป็นสีโปรดของบรรดาดีไซน์เนอร์ทั้งหลาย บางทีเราก็อาจจะต้องหาโบว์หาเน็คไทสีฉูดฉาดมาประดับบ้างก็ตามทีเถอะ
หรือไปงานศพ จะล่อใส่สีแดงก็เลยก็อาจจะดูผิดกาละเทศะไปสักหน่อย อาจจะโดนค้อนแบบหางตา แล้วก็เลยไปถึงบุพการีเรา (อีกครั้ง) ไปอย่างช่วยไม่ได้
โปรดสังเกตว่าบุพการีของเราโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง
เรามาว่าด้วยเรื่องของสีกันต่อ
นอกงานบรรดาเหล่างานที่ต้องมีสีมาเป็นตัวกำหนดแล้ว ลองสังเกตดูรอบตัวก็มีสีเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตเราพอสมควร ลองหลับตานึกภาพเซเว่น อีเล่เว่นปั๊บแล้วเราก็จะเห็นสีแดงกับสีเขียวลอยเข้ามาในหัวของเราทันที ประกอบกับมีเสียงติ๊งต๊องต้อนรับเราทันทีเมื่อประตูบานเลื่อนหน้าร้านค่อย ๆ เปิดออก
ลองนึกถึงร้านสุกี้เอ็มเค ก็มี 2 สีที่ว่านี้ลอยเข้ามาในหัวสมองของเราเหมือนกัน
เออ เพิ่งสังเกตเหมือนกันว่า สีเขียวและสีแดงเป็นสีที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง แต่หนักไปทาง positive feeling มากกว่าว่าไหม
เขาว่ากันว่าสีกำหนดอารมณ์เราได้
ลองนึกถึงตอนที่เราเปิดตู้เสื้อผ้า วันไหนถ้าอารมณ์ดี ๆ ชิลล์ ๆ ก็อยากจะใส่สีสดใส วันไหนอารมณ์ บ่ จอยก็อาจจะเลือกโทนสีเข้ม ๆ แต่เรื่องรสนิยมของสีในการเลือกเสื้อผ้าของแต่ละคนอาจจะไม่ตายตัว เพราะเพิ่งเปิดดูตู้เสื้อผ้าตัวเองไม่กี่วันที่ผ่านมา มากกว่าครึ่งหนึ่งในตู้เสื้อผ้า หนักออกไปทางโทนขาว ดำ และเทา
นอกจากสีที่มีอิทธิพลกับชีวิตประจำวันเราแล้ว เรายังใช้ สีบ่งบอกความเชื่อและจุดยืนของเราแบบทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว ลองนึกไปถึงประเทศไทยของเราเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มี สีเกิดขึ้นมามากมาย เป็นสีที่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันอย่างชัดเจน บางอย่างที่ชัดเจนกันมากเกินไป ก็นำไปสู่การต่อสู้เพื่อชัยชนะอะไรบางอย่าง ซึ่งบางครั้งคนที่ใส่เสื้อสีนั้นอาจจะยังไม่เข้าใจก็ได้ว่า เราจะแบ่งสีกันไปทำไม
สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีชมพู สีขาว และ ฯ ล ฯ
ก็ว่ากันไปตามเรื่องของสี คุยกันแบบสัพเพเหระตามสไตล์ ช่วงนี้ที่เมืองไทย คนเริ่มทำงานน้อยลง เริ่มเกงานลางานกันบ้างเล็กน้อย เพราะช่วงเวลาแบบนี้ หลายคนก็อยากจะสนุกสนานกันให้เต็มที่ เพราะหนึ่งปีก็มีเพียงแค่หนึ่งครั้งที่เราจะได้ปลดภาระหน้าที่วางลงไว้ชั่วคราว แล้วค่อยกลับมาลุยกันใหม่ต้นปีหน้า
จะชอบสีอะไร จะใส่สีอะไร เชื่อในสีอะไร คงไม่มีใครไปบังคับใครได้ ขอเพียงแต่ให้ทุกสีมีความสุขตามที่ตัวเองอยากจะเป็น และอย่าลืมให้โอกาสสีอื่นได้ยืนอยู่ข้าง ๆ เราบ้าง
อย่างน้อยเราก็จะได้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กระจก


ถึงเวลาส่องกระจก

คุณส่องกระจกตัวเองครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?
อยู่ดี ๆ ก็มีคำถามนี้ก็โผล่ขึ้นมากลางสมอง
เวลาตื่นนอนขึ้นมา เชื่อว่าทุกคนนอกจากจะต้องอาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้า ทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำแล้ว ก็ยังคงต้องส่องกระจกตรวจตราความเรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน การส่องกระจกตัวเองกลายเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
แต่การส่องกระจก นอกจากจะเห็นตา จมูก ปาก และใบหน้าของตัวเองแล้ว ถ้ามองให้ลึกลงไปกว่านั้น เรามองเห็นอะไรเข้าไปนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกกันบ้างรึเปล่า?
การส่องกระจกเข้าไปภายในใจเราเองบ้าง อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง และตั้งคำถามกับตัวเองว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง และจะเดินอย่างไรต่อ บางทีที่เราวุ่นวายกับชีวิตประจำวันจนดิ้นไม่หลุด จนบางครั้งอาจจะทำให้เราลืมสิ่งที่เราคิด หรือสิ่งที่เราตั้งใจจะทำไปได้ง่าย ๆ
ถ้าเป็นนักข่าว อาจจะต้องบอกว่าประเด็นของเรื่องมันหายไป
ถ้าเป็นช่างภาพ อาจจะเป็นเรื่องของการลืมปรับโฟกัส
ถ้าเป็นนักธุรกิจ อาจจะเป็นเรื่องราวของคนลืมเขียนแผนการตลาดไว้ล่วงหน้า
ถ้าเป็นคนทำงานรับจ้างกินเงินเดือน อาจจะเป็นเรื่องของการลืมคิดการก้าวไปข้างหน้าทางด้านอาชีพการงาน
ถ้าเป็นและถ้าเป็น ฯ ล ฯ
เราเป็นคนชอบส่องกระจกมองตัวเอง ส่วนหนี่งเป็นเพราะว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยมีโฟกัสในชีวิต วิธีการช่วยจำและช่วยย้ำคิดย้ำทำของตัวเองก็คือ การมีสมุดโน้ตอยู่ข้างตัว เห็นอะไร ชอบอะไร คิดอะไรได้ต้องรีบเขียนลงไป
ไม่อยากเห็นบางอย่างแล้วผ่านเลยไป ซึ่งบางทีมันอาจจะไม่ได้หมุนวนกลับมาหาเราอีกก็เป็นได้
อย่าไปคิดให้มันซับซ้อน
เอาง่าย ๆ ตอนที่ไปเดินซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ก่อนออกจากบ้าน มีของอยู่ในสมองเพียบว่าจะต้องซื้อเข้ามา แต่ทุกครั้งที่ไปโดยไม่มีกระดาษโน้ตจดของที่จะซื้อ กลับกลายเป็นว่าของที่ต้องซื้อไม่ได้ซื้อ ไอ้ของที่ไม่ได้อยากซื้อกลับซื้อมาวางอยู่ในบ้านเต็มไปหมด
กลับมาว่าเรื่องกระจกกันต่อ จริง ๆ แล้วการส่องกระจกเป็นนัยสำคัญของตัวเองมาตั้งแต่เริ่มต้นเป็นนักข่าวมือใหม่หัดขับ ในแง่ของคนข่าว กระจกเปรียบเสมือนกับสิ่งที่สะท้อนความจริง ในแง่ของคนใช้ชีวิต กระจกน่าจะช่วยให้เราทำความเข้าใจกับอะไรที่อยู่ข้างในใจเราเอง
หลังอ่านบทความนี้เสร็จ มาลองดูกันไหมว่า สมมุติตัวเองว่าเดินเข้าห้องหน้า แล้วยืนอยู่หน้ากระจก ลองมองเข้าไปลึก ๆ จากดวงตาพุ่งทะลุตรงเข้าสู่สมองของเรา ดูสิว่าเราเห็นอะไรกันบ้าง คุณอาจจะประหลาดใจที่เราอาจจะพบเรื่องราวมากมายระหว่างตัวคุณเองกับกระจกบานนั้น
ฝากข่าวถึงแฟนคอลัมน์ที่แอลเอว่า ปีนี้คงไม่ได้อยู่เขียนบทความต้อนรับปีใหม่จากที่นั่น แต่รับรองว่าน่ามีเรื่องราวสนุก ๆ เขียนกันแบบสด ๆ ส่งตรงจากแบ็งค็อกของเรา ขอให้เอ็นจอยสนุกสนานกับชีวิตไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของโลก


วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

กลับบ้าน

หน้าเวทีงาน SF Back to School (เครดิตรูปจากทีมงาน SF Back to School)

จำความรู้สึกครั้งแรกได้ที่เดินกลับเข้าไปโรงเรียนเมื่อหลายเดือนก่อน เป็นความรู้สึกคิดถึงอยู่ลึก ๆ และโหยหาที่จะได้กลับไปอีกสักครั้ง เหมือนเราเกิดและผูกพันกับที่นี่ตั้งแต่วัยเด็ก ภาพความทรงจำเก่า ๆ อยู่ดี ๆ ก็แล่นจู่โจมเข้ามาในรอยหยักของสมอง
เหมือนใครเอาภาพยนตร์เก่ามาฉายซ้ำไปมาอยู่ในหัว
เพียงแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเกิดขึ้นและจบไปแล้วในชีวิตปัจจุบัน
แต่แปลกที่มันยังกลับมาโลดแล่นอยู่ในสมองของเรา และวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น
จำได้ว่าครั้งนั้น มีเพื่อนถามว่า เราจะได้กลับมางานคืนสู่เหย้าตอนช่วงสิ้นปีไหม ตอนนั้นตอบตามตรงว่า ไม่รู้อนาคตจริง ๆ ไม่แน่ใจว่าจะต้องกลับไปแอลเอรึเปล่า แต่ก็เหมือนอะไรดึงเราไว้ที่นี่ และสุดท้ายก็ได้กลับไปโรงเรียนอีกครั้งจริง ๆ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
เที่ยวบอกใครต่อใครหลายคนว่า เราเป็นคนไม่มีบ้านเป็นหลักแหล่ง ต้องเดินทางไปโน่นนี่ตลอดเวลา จดหมาย รูปภาพเก่า ๆ ต่างหายไปตามทางเมื่อถึงเวลาต้องย้ายตัวเองไปปักหลักอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ครั้งนี้เมื่อเดินกลับเข้าไปในโรงเรียน เหมือนภาพในอดีตมาปรากฎอยู่ตรงหน้า
มีสถานที่เก่า เพื่อนเก่า ครูอาจารย์ที่เคยถือไม้เรียววิ่งไล่จับเราตอนเราเป็นเด็ก ยืนคอยต้อนรับอยู่ตรงหน้า 
เป็นความรู้สึกที่เต็ม และเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่รู้สึกว่าเราได้กลับบ้านที่เป็นบ้านจริง ๆ
จากความรู้สึกและภาพที่วิ่งอยู่ในหัวสมองขณะนั้นค่อย ๆ เลือนหายไป แทนที่ด้วยเสียงทักทายแบบนกกระจอกแตกรังเหมือนไม่เคยเจอกันมาหลายสิบปี (นับแล้วก็เป็นเวลามากกว่า 20 ปี) เสียดายที่ได้ทักทายกันคนละนิดคนละหน่อย เพราะดูเหมือนต่างคนก็อยากจะวิ่งตามหาเวลาดี ๆ เหล่านี้เก็บไว้ เพื่อเป็นพลังในการเดินต่อไปในชีวิตจริง
นอกจากเพื่อน พี่ น้องที่ได้เจอแล้ว ก็ยังมีครูอาจารย์ที่ทำให้เราเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้คอนเฟิร์มด้วยความแน่ใจว่า ไอ้เรานี่เป็นเด็กหลังห้องแบบจริงจัง รู้ว่าเวลาผ่านไป แต่ก็ยังไม่คลายความกลัว รู้ทั้งรู้ว่าครูคงไม่ไปเอาไม้เรียววิ่งไล่ตีเราอีกเป็นแน่ แต่ก็ยังขอยืนมองดูครูด้วยความเคารพอยู่ห่าง ๆ อย่างนี้จะดีกว่า
แฮ่ะ ๆ ไม่อยากจะบอกเลยว่า เวลานี้เหมือนต้องชดใช้หนี้กรรมที่เคยทำกับครูไว้ เพราะตอนนี้เราก็กลายมาเป็นอาจารย์พิเศษสอนเด็ก ก็เลยต้องผจญวีรกรรมกับพวกเขา เหมือนที่เราเคยทำไว้กับครูเมื่อยังเป็นเด็ก
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสได้กลับไปนั่งโต๊ะโรงอาหารแบบเดิม ๆ กับอาหารที่คุ้นลิ้นมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือนายเบิ้ม ข้าวต้มไก่ฉีก กระเพาะปลา และข้าวเกรียบปากหม้อญวณ จำได้ว่ากลับบ้านไปแบบท้องอิ่มพร้อมกับอาการเสียงแหบเสียงแห้ง
แต่คืนนั้นยังเผลอแอบมีรอยยิ้มก่อนหลับไป
เวลามันคงหมุนเวียนแบบนี้ของมันไปเรื่อย ๆ หมุนให้เราไปเจอนั่น นี่ โน่น แล้วมันก็หมุนให้เราได้เจอใครต่อใครบ้าง ถามว่าเวลาจะหมุนให้เราได้เจอกันอีกไหม เวลาคงทำหน้าที่ของมัน ส่วนเราก็คงทำตามหน้าที่ของเรา
จนกว่าเราจะได้พบกันอีก

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

นิเทศ Got ทะเล้น

เครดิตรูปจากอุ๊บ เพื่อนที่นิเทศ ฯ

หนึ่งเดือนที่ผ่านมา มีงานคืนสู่เหย้า 3 งานติด
และ 2 ใน 3 ของงาน ดันจัดวันเดียวกัน
เลยต้องเลือกไปแค่ 2 งาน พลาดไปหนึ่งแต่ก็นับว่าไม่พลาดอะไร เพราะเพื่อนส่วนใหญ่ก็มาจากโรงเรียนเดียวกัน
เร็ว ๆ นี้เพิ่งบ่นกับเพื่อนว่า เวลามันช่างผ่านไปเร็วจริง ยังไม่ทันไรจะสิ้นปีอีกแล้ว และถ้าเป็นช่วงที่ชีวิตได้กลับมาอยู่เมืองไทยประมาณเดือนพฤศจิกายน หรือธันวาคมแบบนี้ รับรองได้เลยว่าสนุก และจะมีอาการแบบชีพจรลงเท้า เพราะเป็นช่วงที่คนไทยเริ่มฤดูการเฉลิมฉลองกันล่วงหน้า
เป็นช่วงเวลาแห่งการพบปะสังสรรค์กันแบบจริงจัง
เฉลิมฉลองกันแบบเอาเป็นเอาตาย
ยังเคยคิดเลยว่า ถ้าเราทำอะไรอย่างอื่นที่จริงจังแบบนี้บ้าง ป่านนี้ประเทศเราอาจจะเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชียไปแล้ว
กลับมาเรื่องเพื่อนกันดีกว่า นอกจากสถาบันครอบครัว ถัดไปก็คงเป็นสถาบันการศึกษานี่แหละ ที่เราจะได้เจอคนที่เราจะเดินกันไปเรื่อย ๆ บนถนนชีวิตเส้นนี้ ห่างหายจากกันไปบ้าง แต่เมื่อถึงเวลาก็เดินกลับเข้ามาหากันไปอีก มิตรภาพในวัยเด็กเป็นมิตรภาพที่ไม่ต่อก็ติด เหมือนกับกาวตราช้างอย่างไรอย่างนั้น
ผองเพื่อนนิเทศ เครดิตรูปจากนิ้งหน่อง

ครั้งนี้ได้กลับไปคณะนิเทศศาสตร์ จุฬา ฯ ก่อน บรรยากาศรอบข้างเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก มีตึกใหญ่ ๆ ขึ้นสูงระฟ้าเต็มไปหมด บางตึกก็กลับถูกทุบทิ้งไปอย่างน่าใจหาย แม้แต่ตัวคณะเองก็เปลี่ยนไปค่อนข้างมาก
ไปนั่งดูการแสดงอยู่หน้าเวที (ซึ่งก็ยังคงความเป็นเด็กนิเท้ศ นิเทศ) แอบคิดแว่บ ๆ ว่า อืม 20 ปีแล้วซินะที่เราไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านหลังนี้เลย บ้านที่ครั้งหนึ่งมอบความสุขทั้งกายและใจ สนุกสนานกับชีวิตนิสิตนักศึกษา ได้พบเจออะไรใหม่ ๆ ไม่รู้ตัวว่าความคิดบางส่วนในขณะนั้น ได้กลายมาเป็นพื้นฐานความคิดของเราถึงทุกวันนี้
การกลับไปโรงเรียน เหมือนกับการเราได้กลับไปอยู่บนเวทีอีกครั้งหนึ่ง
เวทีของมิตรภาพ
เสียดายที่คืนนั้นมีงานนัดพบแบบเดียวกันของนักเรียนเตรียมอุดม ทั้งศิลป์ฝรั่งเศส ศิลป์เยอรมัน และศิลป์คำนวณ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่ 3 ปีที่เราใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น แต่ก็ยังมีความทรงจำดี ๆ ติดตัวมาจนนึกถึงทีไร ก็แอบยิ้มไม่ได้ทุกที
แต่อย่างน้อยก็ได้แอบดูรูปเพื่อน ๆ บนเฟสบุ้ค!
มีคนเขาว่ากันว่า มิตรภาพในวัยเด็กเป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์อะไรแอบแฝง ถึงแม้จะไม่เทียบเท่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพ่อ แม่ พี่ น้องก็ตาม และคิดว่ามันคงจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ และบางอย่างบางเรื่องเราก็ไม่สามารถเล่าให้พ่อแม่ฟังได้ ก็คงมีแต่เพื่อนนี่แหละที่เราสามารถเปิดอกพูดอะไรที่มันอยู่ข้างในใจได้
จริง ๆ แล้วก่อนที่จะกลับไปงานคืนสู่เหย้าแบบนี้ ซึ่งครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี เพราะจริง ๆ แล้วเพื่อน ๆ ก็นัดเจอกันทุกปี เป็นกลุ่มใหญ่บ้างเล็กบ้าง แต่ครั้งก่อน ๆ ที่ไม่ได้มาส่วนหนึ่งอาจจะไม่ได้อยู่เมืองไทย และถึงแม้บางครั้งจะอยู่เมืองไทย แต่ก็มีความคิดว่า ไม่รู้เพื่อนจะเหมือนเดิมไหม
เหมือนคนคิดอะไรโง่ ๆ ว่าไหม? เพื่อนอย่างไรก็ยังเป็นเพื่อนอยู่วันยันค่ำ
เพื่อนบางคนอาจจะเปลี่ยน
แต่เพื่อนแท้ไม่เคยเปลี่ยน
คิดแล้วโชคดีที่มีเพื่อนแท้เหมือนคนอื่นเขาบ้าง
อาทิตย์หน้ามีงานคืนสู่เหย้าที่โรงเรียนวัยเด็กมาฝาก รับรองว่าสนุกไม่แพ้กัน ได้ข่าวว่าตอนนี้ที่แอลเออากาศหนาวมาก ประมาณว่าฝนที่ตกทางโน้นหนาวถึงคนทางนี้ อย่างไรอย่าลืมหาเสื้อแจ็กเก็ตและผ้าพันคออุ่น ๆ ติดตัวตลอดเวลานะคะ
แล้วเจอกันใหม่อาทิตย์หน้า

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิ่งตาม

(เครดิตรูปจาก zone-it.com)

วันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง อีกเดือนกว่าจะใกล้ปีใหม่อีกแล้ว
เหมือนใครมาแกล้งหมุนเข็มนาฬิกาให้มันหมุนไวขึ้นกว่าเดิม
เคยถามตัวเองแบบโง่ ๆ บางทีเราใช้ชีวิตแบบให้หมดไปวัน ๆ รึเปล่า เหมือนคนล่องลอยแบบไม่มีอนาคต วางแผนคิดวาดฝันอะไรไว้ มันก็ได้เห็นกันแค่ในจินตนาการ มองย้อนกลับไปในปีนี้ ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราโง่รึเปล่าที่ไม่ฉลาดในการใช้ชีวิต มันไม่ใชเรื่องของความโง่หรือไม่โง่ (คิดแบบเข้าข้างตัวเอง) ของบางอย่างแค่มาแบบไม่ถูกที่ถูกเวลาก็เท่านั้นเอง
มีเพื่อนหลายคนถามว่า จะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่เมื่อไร?
คำถามนี้เหมือนมาสะกิดความฝันของตัวเองอยู่ลึก ๆ เหมือนกันนะ ถ้าถามว่าอยากทำอะไรที่สุดในระยะเวลาหนึ่งปี สองปีจากนี้ คงตอบแบบไม่ต้องคิดว่า อยากเขียนหนังสือ เพราะการเขียนหนังสือเป็นสิ่งที่ตัวเองมีความสุขที่สุด แต่ในโลกของความเป็นจริงก็คือ หนังสือขายไม่ค่อยออก (ฮา…)
จากประสบการณ์ของการออกหนังสือ บันทึกฅนเล่าเรื่อง” (ขอแอบโฆษณานิดนึง) การออกหนังสือหนึ่งเล่มไม่ยาก แต่จะขายได้ไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ทุกวันนี้ยังมีหนังสือเหลือทิ้งไว้ที่ห้องเก็บของอยู่บ้าง และบางส่วนยังวางอยู่ที่หิ้งร้านขายหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ (อันนี้เป็นความภูมิใจส่วนตัว)
จากคนไม่มีอะไร จากคนไม่รู้จักใคร ไม่รู้จัก connection กับใครหรือองค์กรไหน นอกจากความอยากที่จะมีหนังสือเป็นของตัวเอง แล้วยังต้องมีความบ้าอยู่ในตัวเองพอสมควร ตอนนั้นทำไปโดยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นอย่างไร อะไร คิดแค่ว่าอยากจะทำอยากจะเห็นหนึ่งในความฝันของตัวเอง สามารถจับต้องได้ และต้องขอบคุณครอบครัวและเพื่อนสนิทอีกหลายคน ที่ทำให้ความฝันของคน ๆ หนึ่งกลายมาเป็นความจริง
อันนี้เป็นเรื่องของสิ่งที่ผ่านไปแล้วในรอบปีกว่าที่ผ่านมา
คราวนี้เรามาลองไปข้างหน้ากันบ้าง
ใครมีความฝันล้อมวงกันเข้ามาเสียงเพลงของวงเฉลียงเหมือนจะลอยตามลมเข้ามาทางช่องหน้าต่างยังไงยังงั้น
เริ่มความฝันแรก ก็คืออยากเห็นพ่อแม่ได้ปลดเกษียณวางมือจากการทำงานเสียที และการจะทำได้แบบนั้น เราคงต้องสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้ก่อนอื่น เพราะที่เขาทั้งคู่ไม่ยอมวางมือ เพราะคงเห็นว่าเราอายุตั้งสี่สิบ ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรกับเขาเลย เขียนมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าบางครั้งตัวเองเหมือนลูกอกตัญูญู ไม่เคยได้มีโอกาสตอบแทนอะไรเขาบ้างเลย
มีคำถามของน้องสาวลอยเข้ามาในสมองว่า
พ่อกับแม่จะอยู่กับเราได้อีกกี่ปี
ถ้าอยากจะทำอะไร ต้องรีบทำ
พอคิดได้แบบนี้ มันเหมือนกระตุ้นเซลล์สมองส่วนที่ไม่เคยรับผิดชอบกับชีวิตใครเหมือนกันนะ ว่าเราต้องลุกขึ้นมาทำอะไรเพื่อคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะพ่อกับแม่ เพราะอย่างที่น้องสาวว่า เขาคงอยู่กับเราไม่นาน ลองคิดดูพ่ออายุ 73 ปียังดิ้นรนเพื่อที่จะมั่นใจว่า วันที่เขาจากไปพวกเราพี่น้องสามคนจะใช้ชีวิตอยู่กันไปได้แบบไม่ลำบากมากนัก กับแม่ที่อายุปาเข้าไป 67 ปี ทุกวันนี้ตีห้ายังคงไปเป็นผู้กำกับอยู่ที่ร้านอาหารอยู่เหมือนเดิม
ความฝันอย่างที่สอง เหมือนตอบสนองกับโจทย์ข้อแรก คืออยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง เพิ่งรู้ตัวเองไม่นานว่า บางทีพฤติกรรมของแม่คงจะซึมซับเข้ามา อยากเป็นเจ้าของกิจการเล็ก ๆ เลี้ยงตัวเองได้ และมีเวลาไปเขียนหนังสืออย่างที่ตัวเองอยากทำ
ความฝันยังคงจะเป็นความฝันวนเวียนอยู่แบบนี้ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง เชื่อว่าทุกคนต่างมีความฝัน
ถือเวลาว่าได้ฤกษ์ใกล้ปีใหม่นี้ ตะลุยความฝันให้มันกลายเป็นความจริง 
ถึงเราจะมีความฝันที่ต่างกัน แต่เราก็สามารถทำไปพร้อมกันได้


วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เชียงใหม่ (อีกครั้ง)

(เครดิตภาพและเรื่องจากหมู)

การเดินทางแต่ละครั้ง ของแต่ละคน แม้จะไปยังสถานที่เดียวกัน แต่มุมมองและความรู้สึกสนุกสนานไปกับการผจญภัยแต่ละครั้ง ย่อมแตกต่างกันไป

อันนี้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล

อาทิตย์นี้มีเรื่องราวของเพื่อนใหม่ ที่แอบหนีไปเที่ยวเชียงใหม่ มาเป็นนักเขียนรับเชิญในคอลัมน์

อย่างแรกเห็นว่า คนอ่านอาจจะเบื่อนักเขียนประจำอย่างเราบ้างไรบ้าง

อย่างที่สองคิดว่า ตัวเองก็เพิ่งขับรถขึ้นเหนือไปไม่กี่เดือน (ถ้าใครติดตามคอลัมน์ต่างองศาคงจำกันได้) เราเองก็เห็นเชียงใหม่ในแบบของเรา คราวนี้ลองให้คนอื่นมาแชร์ในสิ่งที่เขาเห็นบ้าง

เรื่องราวของการมองโลกย่อมแตกต่าง

อย่างสุดท้ายคิดว่า อยากให้เป็นคอลัมน์ที่เปิดกว้าง ให้มาแชร์อะไร ๆ ร่วมกัน ว่าแล้วก็อย่ารอช้า รีบไล่สายตาลงไปอ่านโดยพลัน

เป็นธรรมดาของคนไทย เข้าช่วงอากาศเย็นก็ต้องขึ้นเหนือไปสัมผัสความเย็น ก็คงต้องบอกว่าเชียงใหม่ยังคงเป็นจังหวัดยอดฮิตที่คนไทยชอบไปอยู่ดี เพราะมีทั้งความเป็นธรรมชาติ กลิ่นอายวัฒนธรรมล้านนา และความฟุ้งเฟ้อของสังคมเมืองภายในที่เดียวกัน

วันแรกที่ไปถึงเชียงใหม่ คิดว่าก็คงได้เดินเล่นที่เดิม ๆ กินอะไรเดิม ๆ ที่เค้าบอกว่าอร่อยกัน แต่กลับผิดคาด เราเริ่ม trip ด้วยการตัดสินใจเช่ามอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน คนขี่ก็ไม่เคยขี่มาก่อน อาศัยว่าขี่จักรยานเป็นก็คงขี่มอเตอร์ไซค์ได้เหมือนกัน คนนั่งซ้อนท้ายไม่ต้องพูดถึงขี่ไม่เป็น พร้อมเป็นภาระอันหนักหน่วง เพราะตัวอ้วนอีกต่างหาก

นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตการซ้อนมอเตอร์ไซค์แล้วกลัวที่สุดระทึกที่สุด แต่นึกถึงทีไรก็ต้องอมยิ้มไปขำไปทุกครั้งทีเดียว

เชียงใหม่ยุคนี้ขับรถไปไหนก็ต้องวนรอบคูเมืองเพราะถนนมัน one way ด้วยความไม่คุ้นเคยเพราะไม่ใช่คนเชียงใหม่ จะไปไหนทีเลยต้องไปวนคูเมืองก่อนหนึ่งรอบเพื่อหาสถานที่ที่เราจะไป ทั้งหงุดหงิดใจทั้งงง แต่ก็ตามมาด้วยความฮาและเสียงหัวเราะทุกครั้ง

ท้ายที่สุดเราก็ไปถึงจุดหมายปลายทางตามที่เล็งไว้ในแผนที่ทุกครั้ง

ไม่ว่าจะด้วยความเดา ความฟลุ้ค หรืออะไรก็ตาม

แม้ว่าเราจะตกจากมอเตอร์ไซค์ลงมานอนแอ้งแม้ง ทำให้คนขี่ทั้งโมโหทั้งขำ และคาดว่าคงสงสารไปในคราวเดียวกัน

บนเส้นทางท่องเที่ยวที่เราหลงและวกวน ต้องยอมรับว่า...เราได้ค้นพบการผจญภัยหลายอย่างในแบบของเราเอง มีหลากหลายอารมณ์ตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็นหงุดหงิดโมโห แต่ก็จบลงด้วยรอยยิ้มเสียงหัวเราะและความสุขทุกครั้ง วัดวาอารามถนนสองข้างทางรอบตัว ตึกรามบ้านช่องที่งดงามผสมผสานกันหลากหลายรูปแบบ

เราอาจจะมองผ่านเลยไปถ้าเราไม่ได้หลงและวนอยู่ตรงนั้น

อากาศหนาวที่ประทะกับใบหน้าระหว่างเราขี่รถ เป็นความรู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูกเลยทีเดียว

ไปเชียงใหม่ครั้งนี้ทำให้เราได้รู้ว่า...

ในชีวิตคนเราสักครั้งหนึ่งลองทำอะไรในแบบที่เราชอบ

ไปในที่ที่เราอยากจะไปในรูปแบบของเราเอง

ให้เวลาเก็บเกี่ยวความงามความสุขสองข้างทาง

มันเป็นรางวัลชีวิตและความสุข

ที่เราต้องหาโอกาสและทำแบบนี้ให้กับตัวเองอีกหลายๆครั้งทีเดียว

ลองมาหาความสุขในแบบของตัวเองกันสักครั้ง...

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณครูคนใหม่

ได้เวลาขีดเขียน (เครดิตรูปจากแม่น เพื่อนนิเทศ)

เคยบอกใครต่อใครว่าไม่ใช่คนเรียนเก่ง หรือเรียนดี เป็นแต่เพียงคนที่เอาตัวรอดก็เท่านั้น
แต่พอบอกว่าจบจากไหน ไปต่อที่ไหน อย่างไร ทุกคนก็มาถึงบทสรุปเอาเองว่า คนนี้เป็นคนเรียนเก่ง ความที่มีคนคาดหวังว่าเราจะต้องเป็นคนเก่งหัวดี บางทีคนที่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ ก็อยากจะทำหน้าปะแหล่ม ๆ พร้อมกับอยากจะบอกว่า อย่าคาดหวังกันจนเกินไป
ชีวิตเปลี่ยน เส้นทางของคนเปลี่ยนเมื่อมาถึงเวลา
บางทีเราไม่ต้องวิ่ง ไม่ต้องตามหา เมื่อมันมาแล้ว ไม่ว่าจะปฏิเสธอย่างไร มันก็มาวางกองอยู่ตรงหน้า จะตอบปฏิเสธก็ดูยากเต็มที ว่ากันว่าให้ลองเดินดูอีกสักครั้ง หลุดจากอะไรที่ไม่เคยได้ทำบ้าง
เร็ว ๆ นี้เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็ได้กลับไปใกล้ชิดกับชีวิตเด็กนักเรียนอีกครั้ง ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่เคยคิดว่าจะมีวันที่ตัวเองยืนพูดปาว ๆ อยู่หน้าห้องเรียน ทั้ง ๆ ที่สมัยเด็กนั้น เป็นเด็กที่ขี้อาย แอบอยู่หลังห้องแทบทุกครั้ง
แม้การกลับมาคราวนี้ จะกลับมาในบทบาทที่ต่างกัน
คิดแล้วตลกดี อยู่ดี ๆ ก็มาเป็นอาจารย์ ได้อย่างไร อะไร ไม่รู้
อาจารย์ทุกคนต้องผ่านการเป็นนักเรียนมาก่อนทั้งนั้น เหมือนทุกคนต้องนั่งที่เก้าอี้มาก่อน ๆ ที่จะมายืนอยู่หน้าชั้น พอมาถึงคราวที่บทบาทเปลี่ยน เลยมานั่งคิดนอนคิด ว่าอะไรที่เราไม่ชอบตอนเป็นนักเรียนบ้าง คิดไว้ว่าจะไม่ทำแบบนั้น คิดเอาว่างานนี้จะเอาใจนักเรียนสุด ๆ
แต่การคิดอะไรอย่างเดียว โดยไม่ต้องลงมือทำ เป็นสิ่งที่ง่าย
แต่พอถึงเวลาต้องปฏิบัติจริง ๆ งานมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
มันมีอะไร นั่น นี่ โน่น
ตอนสมัยเป็นนักเรียนนักศึกษา เกลียดที่สุดคือการบ้าน อาจารย์คนไหนชอบให้การบ้าน จะกากบาทหมายหัวไว้เลยว่าคราวหน้าจะไม่ลงเรียนอีก เพราะคิดเอาเองว่า อยากเอานอกเวลาเรียนมาสนุกสนานกับโลกภายนอก 
แต่พอถึงเวลาได้มาลองเป็นอาจารย์สอนนักเรียนสักครั้ง ตัวเองกลับกลายเป็นคุณครูชอบให้การบ้าน เพราะคิดว่าจะเป็นทางเดียวและทางลัดที่จะทำให้นักเรียนได้เรียนรู้อะไรได้เร็วขึ้น เวลาแค่สามชั่วโมงในหนึ่งอาทิตย์ในห้องเรียน เหมือนจะไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเราได้เลย
หรือแม้แต่หนังสือตำราที่ใช้ในห้องเรียน ก็เหมือนกับเราพูดกันคนละภาษา บอกตามตรงแม้แต่ตัวเองที่เป็นอาจารย์ แล้วจำเป็นต้องอ่าน ยังคิดเลยว่า เอามาให้อ่านทำไม (ฟร่ะ)”
พอถึงตอนนี้ เลยต้องมานั่งคิดว่าจะสอนอย่างไรให้นักเรียนได้ไวที่สุด แต่เสียเวลาน้อยที่สุด
การเป็นอาจารย์คงสนุกตรงนี้ ตรงที่เราจะถ่ายทอดเนื้อหาเดียวกัน แต่ใช้วิธีในการอธิบายต่างกัน ทำอย่างไรให้สามชั่วโมงที่นักเรียนอุตส่าห์ตื่นขึ้นมาเพื่อเข้าห้องเรียน (นอกจากการเช็คชื่อที่จำเป็นต้องมีตามระเบียบมหาวิทยาลัย)  มีความสุขที่สุด สนุกที่สุดไปกับเรา
การที่คนเราทำอะไรที่มีความสุขและสนุก
ดูเหมือนจะเป็นคนที่โชคดีที่สุด
เหมือนกับคนเราที่ไม่มีความทรมาน ที่จะต้องตื่นแบบทรมานในเช้าวันจันทร์ และยังต้องทำงานอีกห้าวันเต็ม ๆ เพื่อตั้งหน้าตั้งตารอเมื่อไหร่จะถึงวันศุกร์เพียงอย่างเดียว เพราะการที่คนเราทำอะไรที่มีความสุขแล้ว ไม่ว่าวันไหนก็ไม่สำคัญ
ส่งความสุขมาให้คนอ่านในวันธรรมดา ๆ อย่างวันนี้ ^^

วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

วิกฤตกับโอกาส

เรือกลายเป็นพาหนะสำคัญช่วงน้ำท่วม
(เครดิตรูปจาก www.nationmultimedia.com)

ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส และในทุกโอกาสย่อมมีวิกฤต

คนฉวยโอกาส ขณะที่หลายคนกำลังตกอยู่ในวิกฤต

มีหลายวิกฤต ที่ทำให้คนบางคนกลายเป็นฮีโร่

และมีคนหลายคนเอาวิกฤต มาหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง

เขียนเรื่องวิกฤตกับโอกาสอาทิตย์นี้ เพราะเห็นข่าวคราวเรื่องน้ำท่วมบ้านเรา ซึ่งมีทั้งคนตกอยู่ในวิกฤต และคนรู้จักสร้างวิกฤตให้เป็นโอกาส

น้ำท่วมครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา ช่วงที่ข่าวออกใหม่ ๆ สื่อมวลชนทุกแขนง ได้เกาะติดสถานการณ์ และลงพื้นที่พร้อมกับเสนอข่าวทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าจะอ่านหนังสือพิมพ์ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ติดตามในอินเตอร์เนต เฟสบุ๊ค หรือแม้แต่ในทวิตเตอร์

การรายงานสถานการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ให้เราเห็นด้วยตา และสัมผัสได้ด้วยใจว่า คนไทยไม่เคยทิ้งกัน แม้เราจะเพิ่งฟื้นตัว (แบบค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจจะเป็นช่วงคลื่นใต้น้ำก็อาจเป็นได้) จากสงครามสีเสื้อกันมาไม่กี่เดือนนี่เอง

ความช่วยเหลือหลั่งไหลกันเข้ามาไม่ขาดสาย
นับเป็นเรื่องน่าดีใจ
แต่ตอนนั้นก็แอบคิดในใจว่า ความช่วยเหลือทั้งทางด้านตัวเงินและสิ่งของจะเข้าไปถึงทุกชุมชนที่เดือดร้อนทั่วถึงหรือไม่ หรืออาจจะเป็นเหมือนหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาว่า มีคนบริจาคของไป แต่ของส่งไม่ถึงมือชาวบ้าน
พอตอนนั้นคิดแบบนี้ รีบเขกหัวตัวเองและพูดอยู่ในใจว่า ไอ้เราไปเอาความคิดในแง่ลบและร้ายสุดโต่งแบบนี้มาจากไหน พร้อมกับภาวนาอย่าให้มันเกิดเลย
แต่อีกไม่กี่อาทิตย์ต่อมา เริ่มมีข่าวแบบที่เรากลัวออกมาเป็นระยะ ๆ มีหลายหมู่บ้านที่เดือดร้อนจริง ๆ แต่ความช่วยเหลือไม่เคยเข้าไปถึง หรือไปถึงแล้วแต่คนที่มีหน้าที่ส่งของเข้าไปช่วย อาจจะกำลังนอนหลับฝันหวาน ไม่รู้ไม่ชี้กับความเดือดร้อนของลูกบ้าน ฉวยวิกฤตอันนี้เป็นโอกาส เอาของที่คนบริจาคไปขาย เอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองหน้าตาเฉย
บอกตามตรงว่าอยากจะด่าไปถึงบุพการี
ไม่รู้มันทำกันลงคอได้อย่างไร
แอบคิดไปเองอีกว่า เดี๋ยวเราคงได้เห็นนักการเมืองบางคนไปเสนอหน้าอยู่แถว ๆ นั้นบ้างแหละ อาศัยเข้าไปใกล้ ๆ สื่อมวลชนหน่อย ถือซะว่าให้วิกฤตเป็นโอกาสไปแล้วกัน ไหน ๆ ก็ไหน ๆ คิดไปไกลถึงผลการเลือกตั้งครั้งหน้ามันเลยแล้วกัน
เมื่อคิดได้แบบนี้ แอบเขกหัวตัวเองไปอีกหนึ่งที
สงสัยคงจะคิดดังเกินไป ตอนนี้เริ่มเห็นนักการเมือง ที่เห็นวิกฤตเป็นโอกาส ร้อยวันพันปีไม่เคยลงพื้นที่ ไม่เคยเสนอหน้ามาให้เห็น เริ่มทำการพีอาร์ตัวเองแบบ hard sale คือประมาณถลกขากางเกง ตัวจมอยู่ในน้ำ เดินเข้าไปเยี่ยมเยียนชาวบ้าน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับสื่อมวลชนกำลังจะรายงานสดเข้าไปห้องส่งพอดิบพอดี
เป็นการโฆษณาตัวเองแบบไม่ต้องเสียตังค์
เห็นแล้วรู้สึกสมเพชใจพิกล
หรือนี่แหละประเทศไทย ต้นตำรับปรมาจารย์สำหรับ วิกฤตและ โอกาส

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กับดักความสุข

ความสุขยิ้มได้ (เครดิตภาพจาก http://www.bloggang.com/)

เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็มีเฟสบุ๊ค มีทวิตเตอร์ ใครไม่มีเหมือนตกยุค
แล้วเราเคยสังเกตกันบ้างไหม ว่าในเฟสบุ๊คของเรานั้น จะมีให้กรอกรายละเอียดส่วนตัวว่าเกิดเมื่อไหร่ ทำงานอะไร โสดหรือไม่โสด อะไรอื่น ๆ อีกจิปาถะ
ที่สังเกตช่วงหลัง ๆ พอเปิดหน้า news feed เข้าไป จะมีการอวยพรวันเกิดกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา จำได้ว่าต้องเขียนอวยพรวันเกิดให้เพื่อนไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าเป็นคนช่างสังเกตให้มากไปกว่านั้น จำได้ว่าอ่านจนตาแฉะกันไปข้าง
ทำนองว่าขอให้มีความสุขมาก ๆ
ขอให้มีความสุขให้สุด ๆ
ขอให้มีความสุขตลอดไป
ขอให้ความสุขอยู่กับเราไปตราบนานเท่านาน
ก็แหงล่ะ มันเป็นธรรมเนียมที่จะต้องอวยพรหรือพูดแต่สิ่งดี ๆ ในวันคล้ายวันเกิด ขืนไปพูดแบบประมาณว่า
เอ่อ ขอให้มีความสุขแบบธรรมดา ๆ นะ
สุขบ้าง ทุกข์บ้างก็ได้นะ
อย่าสุขให้มากนัก เพราะทุกข์มันก็ต้องมีมาบ้าง
ถ้าเราขืนไปอวยพรแบบนี้ เพื่อน ๆ เราคงได้ด่าตามไล่หลังมาติด ๆ เผลอ ๆ โกรธมาก ๆ เข้าเพราะดันไม่มีมารยาท ไปพูดสิ่งที่ไม่ดีในวันสำคัญแบบนี้ พ่อแม่เราอาจจะต้องนั่งสะอึกอยู่กับบ้านก็ได้ เมื่อมีเสียงกร่นด่าให้ได้ยินตามลมมาเป็นระยะ ๆ
คิดไปแบบเล่น ๆ ว่า เอ๊ะ! อะไร ยังไง หรือเราติดกับดักความสุขมากเกินไปรึเปล่า ทุกคนแสวงหาแต่ความสุข และพยายามจะวิ่งให้ห่างเจ้าความทุกข์มากที่สุด ซึ่งจริง ๆ อันนี้มันขัดกับคำสอนทางพุทธศาสนาเท่าที่ความรู้เท่าหางอึ่งของตัวเองได้รู้มาเหมือนกันนะว่า สุขกับทุกข์มันมาเป็นแพ็คเกจ มีสุขมีทุกข์ถือเป็นของคู่กัน
เคยทดลองกับตัวเองในชีวิตจริง แม้จะพยายามหลีกหนีให้ไกลเจ้าความทุกข์มากเท่าไร เหมือนมันจะติดสปีดตามเรามาเร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
มีเพื่อนสนิทคนหนึ่งบอกกับเราว่า เวลาเรามีความสุขในเรื่อง ๆ หนึ่ง ดูเหมือนจะมีความสุขมากเกินไป มากจนกระทั่งทำให้เพื่อนคนนี้เข้าใจว่า เวลาเราทุกข์ ทำไมมันถึงทุกข์มากไปกว่าคนอื่น การวิเคราะห์ของเพื่อนเปรียบเสมือนเป็นกระจกเงาสะท้อนความเป็นตัวเองออกมาเหมือนกันนะ
ที่คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะว่าตัวเองคงจะเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่ติดกับดักเจ้าความสุขเข้าให้แล้ว ทั้ง ๆ ที่พยายามบอกกับตัวเองทุกครั้งว่า เฮ้ย! อย่าให้สุขมากนัก เอาแบบสุขแบบพอดี ๆ ได้ไหม อย่าให้มันมากเกิน แล้วแน่ล่ะต้องอย่าให้มันน้อยเกิน
เตือนตัวเองทุกครั้ง เวลารู้สึกว่า โอ้ย! ทำไมตัวเราถึงสุขเช่นนี้ คำพูดของเพื่อนคนนี้ก็เหมือนจะลอยเข้ามากระทบรอยหยักของสมองว่า อย่าให้มันเว่อร์มากไปนัก
ทุกวันนี้ยังคงพยายามจะบาลานซ์ตัวเองให้ได้ คิดเอาเองไหน ๆ ก็เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว (แม้จะยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไกลวัด) ก็จะต้องดำเนินรอยตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ได้ว่า ทุกอย่างเราต้องเดินทางสายกลาง ถ้ามากไปเราอาจจะสำลักความสุขตายก็ได้ หรือถ้าน้อยไปเราเองก็อาจจะจมอยู่ในกองทุกข์จนไม่มีโอกาสโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาหายใจแบบคนอื่น ๆ บ้าง

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ว่าด้วยสุขกับทุกข์

ขาว, ดำ, เทา, แดดส่อง, กับใบหญ้า

หลาย ๆ ปีให้หลัง ต้องยอมรับว่าเรารู้สึกจะชอบจมอยู่กับ ทุกขนิยมมากกว่า สุขนิยมจนบางทีสงสัยไปเองว่า นี่เราไปเริ่มคบหากันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปชอบพอกันตั้งแต่ไหน ทำไมเผลอไปไม่กี่ปีกลับกลายมาเป็นเพื่อนสนิทไปซะงั้น
ไม่มีใครอยากทุกข์
เรื่องของคนที่ทุกข์ ไม่ใช่คนโง่ที่คิดไม่ได้ หรือคิดไม่เป็น
คิดได้ คิดเป็น แต่ก้าวไม่ข้ามมากกว่า
ไอ้เจ้าคำสองคำนี้พูดกันในวงสนทนากับเพื่อน ๆ จำไม่ได้ว่าใครเป็นคนสร้างคำนี้ขึ้นมา ตอนนั้นมีพวกเราหลายคนนั่งขำ (รวมทั้งตัวเองด้วย) ว่าเอาพวกชอบทุกข์นี่มันเป็นอะไร จะทุกข์อะไรหนักหนา หัวเราะเยาะด้วยความไม่ประสีประสา หัวเราะแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า มันจะวิ่งตามมาทันให้เรารู้จักและสนิทชิดเชื้อกันซะนี่
ที่เขียนเรื่องทุกข์กับสุข ไม่ใช่ถือว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญผ่านทั้งด้านดีด้านร้ายมาอย่างโชกโชน
จำได้ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเราว่า เราเป็นคนที่เขียนเรื่องพวกนี้แบบไม่เคยเข้าถึง เขียนไปแบบนกแก้วนกขุนทอง เหมือนอ่านหนังสือแล้วเป็นครูพักลักจำเขามา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ หนัก ๆ เข้ามีคนวิจารณ์ว่าเลิกเขียนเหอะ เขียนเรื่องอื่นดีกว่า
วิจารณ์แบบตรง หนัก และต่อยแรง
เปล่าหรอก คำวิจารณ์นั้น ๆ ยังไม่ได้ทำให้เราหยุดที่จะเขียนเรื่องราวของความสุขความทุกข์ ตรงกันข้ามเรากำลังเขียนจากมุมของเรามากกว่า อะไรที่เรามองเห็น อะไรที่เรากำลังจะมองเห็น และอะไรที่เรายังไม่เห็น
เคยสังเกตตัวเองอยู่เหมือนกัน บางทีพอเจ้าตัวความทุกข์วิ่งเข้ามาปั๊บ สติมาปุ๊บว่าตอนนี้เรารู้สึกแบบนี้ แต่หยุดไม่ได้นะ ยังรู้สึกทุกข์อยู่ ยังจมอยู่กับมัน จะวิ่งจะสลัดอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ถ้าเป็นเรื่องของนักวิ่งกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง นักวิ่งคนนี้กระโดดไม่ข้ามมากกว่า
เป็นเรื่องราวของคนอ่อนซ้อม
หรือจริง ๆ แล้วรู้ทั้งรู้ แต่ตอนนั้นอารมณ์มันขึ้นมาเหนือเหตุผล มันวิ่งขึ้นมาเหนือสติ
หรือคิดในแง่มุมกลับกัน คนเรามันหลงใหลในความสุขมากเกินไปรึเปล่า ทุกข์บ้างได้ไหม?
กับวัยที่ล่วงเลยกำลังจะเข้าเลขสี่อยู่ไม่กี่เดือนข้างหน้า รู้แต่ว่าเรื่องความสุขความทุกข์ เป็นเรื่องที่เราต้องไม่ประมาท ต้องตั้งมั่นป้อมปราการของเราไว้ให้ดี แต่จะแพ้หรือชนะคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เคยสังเกตไหมว่า เวลาเราก้าวเท้าเดิน ไม่มีใครไม่เดินยกขา ทุกคนต้องยกขาขึ้นถึงจะเดินได้ เหมือนตอนเราจมอยู่กับความทุกข์เหมือนกัน เราจะเดินออกมา หรืออยู่กับที่ อันนี้ไม่มีใครไปบังคับได้ แค่อยากจะบอกว่า ถ้าถึงเวลาต้องก้าวก็ต้องก้าว ถ้าเหนื่อยนัก ไม่มีแรงก็อยู่นิ่ง ๆ ก็ไม่ผิดกติกามารยาทแต่อย่างใด จะเดินถอยหลังเพื่ออาจจะเห็นอะไรที่เราอาจมองไม่เห็นก็ไม่แปลกอะไร
ไม่มีใครสามารถไปตัดสินใคร ๆ ได้ถ้าตัวเองไม่ได้อยู่ ณ สถานการณ์นั้น ๆ
เหมือนที่เราเคยบอกเพื่อนคนหนึ่งว่า เราเองเลิกตัดสินชีวิตใคร ๆ มานานแล้ว คุณเป็นใคร เราเป็นใคร บางครั้งบางมุมเราเหมือนคนแปลกหน้ากันด้วยซ้ำ แล้วเราจะไปตัดสินใครเพื่ออะไร และทำไมต้องตัดสิน
ปล. เราเขียนบทความนี้ในวันที่ความสุขกับความทุกข์อยู่ใกล้กันแค่นิดเดียว