วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เพื่อนสี่ขา

2-3 วันนี้ไม่รู้เป็นไง อยู่ดีๆก็คิดถึงเจ้าบราวด์ ไอ้ฟรอยด์และคุณคอฟฟี่ขึ้นมาอย่างรุนแรง ความคิดถึงนี่มันไปได้ทุกที่จริงๆ และเวลามันจะมา บางครั้งก็เหมือนกับจู่โจมจนเราตั้งตัวรับแทบไม่ทัน


และเมื่อเจ้าความคิดถึงมันพาไป…


ก็ย้อนเอาความทรงจำเก่าๆและดีที่สุดช่วงหนึ่งของแต่ละช่วงชีวิต ที่เราได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะบราวด์ ฟรอยด์หรือคอฟฟี่ที่คิดถึงคือเจ้าเพื่อนสี่ขา ที่เราได้อยู่กันมาทีละตัวๆตั้งแต่เด็กจนโต ทุกวันนี้เหลือแต่เจ้าคอฟฟี่เท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่


…อันนี้น่าจะมีต้นเหตุ ที่มาที่ไปของเจ้าความคิดถึง

ฟรอยด์
เพราะเมื่อวันก่อนได้อ่านหนังสือแม่และเด็กเล่มหนึ่งของที่นี่ด้วยความบังเอิญ มีคอลัมน์ถามตอบจากแม่คนหนึ่งเขียนมาถึงแมกกาซีนเล่มนี้ เธอเขียนคำถามมาถามไว้อย่างน่าสนใจตรงที่ว่า


ปลาทอง สัตว์เลี้ยงของลูกเธอตายโดยไม่รู้สาเหตุ อารามตกใจกลัวลูกกลับจากโรงเรียนแล้วจะไม่เจอสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เธอก็เลยตัดสินใจไปซื้อปลาทองตัวใหม่ (ซึ่งเดาเอาว่าปลาทองตัวไหนๆก็คงหน้าตาคล้ายกัน) มาแทนตัวที่ตายไปโดยไม่บอกให้ลูกรู้ เพราะกลัวว่าลูกจะเสียใจและรับไม่ได้กับความตายที่เกิดขึ้น


ซึ่งเธอก็เขียนมาถามด้วยความไม่แน่ใจว่า เธอทำถูกหรือทำิผิดที่ไม่สอนให้ลูกรู้จักความตาย???


จริงๆแล้วเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะต้องเรียนรู้ว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ผู้ใหญ่อาจจะง่ายหน่อยเพราะผ่านเรื่องเหล่านี้มาพอสมควร แต่กับเด็ก เราอาจจะต้องมีวิธีบอกที่นุ่มนวลกว่านั้น


อย่างกับแม่เด็กรายนี้ อาจจะต้องค่อยๆบอกความจริงกับลูก ให้เขาเข้าใจว่าความตายมันเกิดขึ้นกันได้กับสิ่งที่มีชีวิตทุกคนทุกตัวไม่มียกเว้น จะช้าหรือเร็วเท่านั้น บอกไปครั้งแรกลูกอาจจะช็อค ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่นานวันเข้าเขาจะเริ่มเข้าใจ


แต่สิ่งที่ทำได้ก็คือ แทนที่จะปกปิดความจริงไว้ แม่ลูกอาจจะนั่งวาดภาพเจ้าปลาทองในความทรงจำด้วยกัน แล้วเอามาติดไว้บนบอร์ดเพื่อเป็นการระลึกถึง


เรื่องของแม่ลูกคู่นี้ ทำให้เรานึกย้อนไปถึงวันที่เจ้าบราวด์ หมาสีน้ำตาลพันธุ์ผสมได้หายออกไปจากบ้านสมัยที่เราอายุไม่กี่ขวบ จำได้ว่ามันเป็นความสูญเสียครั้งแรกในชีวิตวัยเด็กของตัวเอง วันที่มันหายออกจากบ้านไป เราเองยังมีความหวังแบบริบหรี่ว่า มันจะต้องกลับมาๆ


จำได้ว่าหลังจากรอการกลับมาของเจ้าบราวด์อย่างใจจดใจจ่ออยู่หลายวัน เลยตัดสินใจชวนน้าแบ้ว (น้องสาวของแม่ที่เลี้ยงเรามาตั้งแต่เด็ก) ไปตามหาไอ้บราวด์กันที่สนามหลวง เพราะสมัยนั้นที่สนามหลวงก็เหมือนสวนจัตุจักรขณะนี้ ที่มีสัตว์เลี้ยงวางขายมากมาย หวังใจว่าด้วยความน่ารักของมัน อาจจะทำให้คนเอามันมาขายต่อที่นี่ก็ได้


แปลกที่เราอาจจะจำรายละเอียดแต่ละวันในช่วงวัยเด็กไม่ได้ แต่ภาพวันนั้นไม่เคยลบเลือนไปจากความทรงจำของตัวเองเลย วันที่น้าหลานจูงมือกางร่มกันไปในวันฝนตก เดินตามหาเจ้าหมาตัวหนึ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ไม่รู้สึกร้อนไม่รู้สึกเปียกไม่รู้สึกเฉอะแฉะ


วันนั้นถือเป็นวันแรกของชีวิตที่เริ่มรู้จักว่า การสูญเสียคืออะไร?


และต่อๆมาก็ได้เรียนรู้และเข้าใจมากขึ้นกับเหตุการณ์สูญเสียมาเรื่อยๆไม่ว่ากับคน สัตว์ สิ่งของ เรื่อยมาจนถึงฟรอยด์ หมาพันธุ์ German Shepard ที่พี่ชายเอามาเลี้ยงจาก animal shelterที่นี่


ฟรอยด์อยู่กับพวกเรามาทั้งหมด 15 ปี กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวด้วยความเต็มใจของพวกเราทุกคน จริงๆแล้วเรากับฟรอยด์ เจอกันบ้างห่างหายกันไปบ้างตามแต่ช่วงจังหวะของชีวิต แต่ทุกครั้งที่เจอกัน มันเป็นความรู้สึกดีๆที่แค่มองตากันก็มองทะลุไปถึงก้นหัวใจ


วันที่ฟรอยด์จากพวกเราไป จำได้ว่าวันแรกที่ก้าวเท้าเข้าไปในบ้านหลังเดิม มองหามันด้วยความเคยชินว่ามันจะต้องวิ่งเข้ามาต้อนรับ หรือไม่ก็นอนรอตรงประตูหน้าบ้าน


รู้สึกใจมันหายเมื่อมองไปแล้วเจอกับความว่างเปล่า…


พร้อมกับบอกตัวเองว่า นี่คงเป็นอีกครั้งหนึ่งล่ะมั้งที่เราต้องเรียนรู้…

คอฟฟี่
ทุกวันนี้คอฟฟี่ยังอยู่ดีอยู่ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไปนัก มันคงเป็นหมาที่มีความสุขที่สุดในโลก มีคนเคยบอกว่า แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาไม่ได้ อันนี้ท่าจะจริงกับคอฟฟี่ จากที่เป็นหมาโฮมเลสไม่มีใครต้องการ พี่ชายไปเอาเขามาจาก shelter ที่นี่เหมือนเคย แล้วจากนั้นคอฟฟี่ก็ถูกส่งกลับเมืองไทยตามพี่ชายไป


กลับไปบ้านที่กรุงเทพทีไร ส่วนหนึ่งก็เพราะมาจากความคิดถึงเจ้าตัวนี้ ทุกวันนี้เรากับคอฟฟี่เรียนรู้การลาจากกันเป็นอย่างดี เมื่อไหร่ที่เขาเห็นเราถือกระเป๋าใบโตเดินลงมาจากบ้าน เป็นอันรู้กันว่าเราต้องจากกันอีกครั้งหนึ่ง


คงจะเป็นทุกบททุกตอนล่ะมั้ง ไม่ว่ากับปลาทอง กับเพื่อนสี่ขา หรือกับคนที่เรารัก ในบริบทที่ว่าถ้าเราทำความรู้จักและเข้าใจการลาจากเป็นอย่างดีแล้ว มันคงเป็นเรื่องไม่ยากจนเกินไปนักที่จะผ่านความรู้สึกแบบนี้ไปได้

(เป็นบทความตีพิมพ์ในคอลัมน์ต่างองศา วันที่ 2 มีนาคม 2553)






3 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ2 สิงหาคม 2553 เวลา 22:38

    หมาน่ารักทุกตัวเลย อยากเล่นกับมันจังเลย

    ตอบลบ
  2. อิจฉาคอฟฟี่จางเลย ^^

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ6 สิงหาคม 2553 เวลา 08:49

    ...เรายังจำสายตาของวิกกี้ได้ดี หลังจาก 7 วันที่มันถ่ายท้องจนเหนื่อย ไม่มีแรงเพราะฤทธิ์ของโรคลำไส้อักเสบ... ตอนนั้นเรายังเด็ก ยังไม่รู้ว่าควรจะต้องปลี่ยนหมอแล้วนะถ้าไม่หาย ไม่เอะใจว่ามันแย่มากแล้ว

    วิกกี้ไม่มีแรงแม้แต่จะหันหน้ามาทางเราที่เช็ดสิ่งสกปรกที่พื้นที่มันทำเลอะเทอะไว้... มันพยายามเหลือบตาหันมามองเรา... มันเป็นสายตาที่เราจำได้จนถึงวันนี้ สายตามันสื่อให้เรารับรู้ว่ามันลาลัยอาวรณ์ มันขอโทษที่ทำให้เราเหนื่อย มันรักเราและมันไม่อยากจากเราไป

    เราขนลุกขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ... เดินไปจับหัวมัน ลูบเบาๆ และบอกว่า วิกกี้... อย่ามองแบบนี้ซิ ลูบหัวมันเบาๆบอกให้มันนอนพักและเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน หวังว่ามันจะดีขึ้นในตอนเช้า.... แต่กลับกลายเป็นว่าเราต้องตื่นขึ้นมารับรู้ว่ามันจากเราไปแล้ว

    ไม่มีอีกแล้วเจ้า 4 ขาสีขาวขนปุยที่รอเราหน้าบ้านเสมอถ้าเราออกจากบ้าน... รอเราที่หน้าบันไดเสมอถ้าเราขึ้นข้างบน อยู่หน้าห้องน้ำเฝ้าตอนเราอาบน้ำ... เห่าแม่เวลาที่เรียกชื่อเราเสียงดัง

    เกือบ 20 ปีแล้ว แต่ถ้าหากมีใครก็ตามถามเราว่าเรื่องที่เราเสียใจที่สุดคืออะไร.. หนึ่งในนั้นก็คือการสูญเสียเจ้าวิกกี้ ไม่ใช่เราไม่สามารถยอมรับการจากลา เพียงแต่เราเสียใจว่าเราไม่ได้ทำมันให้ดีที่สุด เราไม่ได้พยายามดูแลรักษาสิ่งที่เรารักไว้ให้ถึงที่สุดต่างหาก

    รัก&คิดถึงเสมอและขอโทษแกอีกครั้งจากใจนะ... วิกกี้

    ตอบลบ