วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หมายเหตุ: โปรดทราบคิดถึงมาก

กับเพื่อนเก่า

“ทำอะไรอยู่”

“เป็นอย่างไรบ้าง”

“สบายดีไหม”

“มีแฟนหรือยัง”

คำถามเหล่านี้มักเกิดขึ้นเสมอเมื่อเราได้พบเจอเพื่อนเก่า และด้วยคำถามเหล่านี้ บางครั้งทำให้ตัดสินใจพยายามหาเหตุผลเพื่อบอกปัดงานสังสรรค์รื่นเริงประเภทนี้ ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่าไม่ค่อยถนัดเรื่องงานบันเทิง ถ้าจะให้เลือกไป ถนัดไปงานประเภทงานศพงานเผามากกว่า

แต่งานนี้บอกกับตัวเองว่าต้องไป เพราะ 20 กว่าปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอเพื่อนเก่าเลย มาประจวบเหมาะกับที่โรงเรียนกำลังจะมีงานคืนสู่เหย้าปลายปีนี้ ด้วยความคิดถึงเพื่อน คิดถึงความสุขในวัยเด็ก คิดถึงมิตรภาพที่เรามีให้กัน บอกกับตัวเองว่าคงถึงเวลาที่ฤาษีต้องออกจากถ้ำ

จริง ๆ แล้วมันมีช่วงเวลาที่เป็นอาการ “เก้อเขิน” เมื่อเราเจอกันใหม่ ๆ โดยเฉพาะในงานที่คนเยอะ ๆ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แต่เชื่อว่าหลายคนคงรู้สึก อาการเหมือนมีช่องว่างกลางอากาศ ความรู้สึกแบบนี้มั้งที่ทำให้เราพยายามหลีกเลี่ยงไปมา

แล้วอาการแบบนี้ก็กลับมาอีก เมื่องานเลี้ยงรุ่นอาทิตย์ที่แล้ว จำได้ว่าเป็นร้านอาหารใหญ่กลางใจเมือง ทั้งร้านมีแต่พวกเราไปจับจอง เวลาเดินเปิดประตูเข้าไปในร้าน ทุกสายตาจับจองมาที่เพื่อนผู้มาใหม่ จากนั้นก็มีคำถามแบบที่ว่าตามมามากมาย

เออ แต่มันก็ไม่เลวร้ายจนเกินไปนัก…

จริง ๆ แล้วต้องบอกว่าเป็นความสุขมากกว่า…

มีความสุขเพราะอะไร ?

เขาว่ากันว่า มิตรภาพในวัยเด็กเป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่มีการบวก ลบ คูณ หารออกมาเป็นตัวเลข

และเมื่อเพื่อน 30 กว่าคนมาเจอกัน (หลังจากไม่ได้เจอกันมานาน 20 กว่าปี) เมื่อนั้นนกกระจอกก็เริ่มแตกรัง เหมือนกับการพยายามเอาปูมาใส่กระด้ง แต่ด้วยความคิดถึงกันมากมั้ง คือไม่มีใครฟังใคร มีแต่คนอยากพูด ๆ บางทีคำพูดก็ลอยผ่านหูไป เหลือแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

เมื่อคิดได้ตอนนั้น ก็เลยแกล้งพยายามทำเป็นคนหูหนวก เหมือนคนใส่ซาวด์เบ้าท์ รับสัมผัสได้อย่างเดียวคือการมองเห็น เมื่อสายตาได้ทำหน้าที่ของมัน โดยปราศจากเสียงรบกวน ทำให้รู้ว่า รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะแบบนี้นี่เองที่เราได้ยินทุกวันเมื่อวัยเด็ก

รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะแบบนี้เองนี่หว่า ที่เราได้ยินน้อยลงทุกทีเมื่อเราโตขึ้น…

และรอยยิ้มกับเสียงหัวเราะแบบนี้เอง ที่ดูเหมือนมันจะหล่นหายไปตามวัยที่มากขึ้น…

การได้กลับมาสัมผัสความรู้สึกอะไรแบบเดิมอีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าเพื่อนไม่ว่าจะห่างหายกันไปนานสักเท่าไหร่ ถ้าคิดจะต่อเมื่อไหร่ก็ติดเมื่อนั้น คงเหมือนการปักชำของต้นไม้มั้ง อยากจะปักชำต้นไหนมันก็งอกเงยขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว สัมพันธภาพของความเป็นเพื่อนคงเป็นแบบนี้

คืนนั้นเราจบงานด้วยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มย่อย ๆ รวมตัวกันร้องคาราโอเกะที่ตึกเดียวกันข้างบน ในห้องคาราโอเกะนั้น เสียงเพลงทดแทนเข้ามาของเหล่าเสียงนกกระจอก ใครร้องเพราะไม่เพราะไม่รู้ รู้อย่างเดียวว่า

“ไอ้พวกเราถึงแม้จะแก่แล้ว แต่ก็ยังมีไฟอยู่”

1 ความคิดเห็น: